ปตท.-ฟ็อกซ์คอนน์ฯ เตรียมขึ้นแท่นผู้นำอีวีอาเซียน ปี’67

ปตท.-ฟ็อกซ์คอนน์ฯ

นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) บริษัทย่อยของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และบริษัท หลินยิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ จำกัด (Lin Yin International Investment) บริษัทในกลุ่มของบริษัท หงไห่ พริซิชั่น อินดัสทรี จำกัด (Hon Hai Precision Industry)

หรือฟ็อกซ์คอนน์ เทคโนโลยี กรุ๊ป (Foxconn Technology Group) ประกาศว่าได้ร่วมกันจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (HORIZON PLUS)

โดยมีสัดส่วนการลงทุนของ ARUN PLUS ที่ร้อยละ 60 และหลินยิ่ง ร้อยละ 40 ตามลำดับ ตามแผนความร่วมมือด้านการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย

เนรมิต 300 ไร่

ผ่านมา 9 เดือน ความร่วมมือระหว่าง ปตท.-ฟ็อกซ์คอนน์ฯ เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ HORIZON PLUS ได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์โรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าบนพื้นที่ 313 ไร่ ณ สวนอุตสาหกรรมโรจนะ อําเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี

โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร สิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารระดับสูงของ FOXCONN คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ผู้แทนจากคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และผู้แทนจากสำนักเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทยร่วมในพิธีครั้งนี้ด้วย

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร สิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภารกิจสำคัญของ ปตท. คือการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในอนาคต การลงทุนและพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ยั่งยืน ถือเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของ ปตท. พิธีวางศิลาฤกษ์ของ HORIZON PLUS

ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ด้วยโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรที่ลงทุนร่วมกับ FOXCONN จะเป็นรากฐานที่ต่อยอดไปยังการพัฒนาส่วนอื่น ๆ ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ เช่น การผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญ การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของผู้ประกอบการไทยในห่วงโซ่อุปทานจากเครื่องยนต์สันดาปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า

ทุ่ม 3 หมื่นล้าน

ขณะที่ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ HORIZON PLUS กล่าวว่า บริษัท HORIZON PLUS ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด BOL (Build-Operate-Localize) ซึ่งนำเทคโนโลยีระดับโลกมาดำเนินการออกแบบก่อสร้าง และทั้งการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและ supply chain ในท้องถิ่น

“บริษัทใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 36,000 ล้านบาท ก่อสร้างโรงงานซึ่งมีกำลังการผลิตเริ่มต้น 50,000 คันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จสามารถเริ่มการผลิตและส่งมอบรถอีวีได้ในปี 2567 และจะขยายเป็น 150,000 คันต่อปีในปี 2573 ทำให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และการจ้างงานที่ต้องใช้ทักษะสูงจำนวนกว่า 2,000 อัตรา

โดยปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมที่จะให้บริการค่ายรถอีวีที่สนใจ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ลดระยะเวลาในการพัฒนาและลดต้นทุนการผลิต ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคตามมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV3)”

Mr.Kay Chiu กรรมการผู้จัดการใหญ่ HORIZON PLUS เปิดเผยว่า การก่อสร้างโรงงานในครั้งนี้มีการยกระดับกระบวนการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติ (automation) เพื่อตอบสนองความต้องการในการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และระยะเวลา

นอกจากนี้โรงงานยังมีการวางแผนเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดมาใช้ในกระบวนการผลิต และลดการปล่อยของเสีย เพื่อให้ HORIZON PLUS เป็นโรงงานผลิตรถอีวีที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพสูงสุดในภูมิภาค

“ด้วยความชำนาญทางด้าน smart electronics ของ FOXCONN ประกอบกับประสบการณ์ในการผลิตแบบ OEM ที่ยาวนาน จะทำให้การดำเนินธุรกิจของ HORIZON PLUS ประสบความสำเร็จ และทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำการผลิตรถอีวีที่สำคัญในระดับภูมิภาคอาเซียน”

หนุนไทยสู่ Net Zero

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า การร่วมมือกับ FOXCONN ไม่เพียงเพื่อลงทุนสร้างฐานการผลิตรถอีวีที่ทันสมัยเท่านั้น

แต่ยังรวมถึงการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการ เสริมสร้างทักษะบุคลากรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตามเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ที่ตั้งไว้ภายในปี 2050

โครงการนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามเป้าหมายของรัฐบาล ด้วยการขับเคลื่อนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ตามนโยบาย 30@30 หรือการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 30% ในปี 2030 นี่จึงไม่เพียงเป็นความท้าทายของ ปตท. แต่นับได้ว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของประเทศเลยทีเดียว