อมตะ คาดยอดขายพื้นที่ในนิคมปี’66 โต 10% ต่างชาติย้ายฐานมาไทยทยอยฟื้นตัว

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์

“อมตะ” มั่นใจปี 2566 ยอดขายพื้นที่ในนิคมโต 10% จากปีก่อนหลังพบสัญญาณการลงทุนจากต่างชาติทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ใช้ไทยเป็นฐานผลิตพุ่งสูง มั่นใจเศรษฐกิจโลกถดถอยกระทบระยะสั้นเหตุการลงทุนภาคการผลิตต้องมองยาว พร้อมปักธงเดินหน้าพลังงานทดแทนเพิ่มขับเคลื่อน Net Zero Emission ลดโลกร้อน

วันที่ 17 มกราคม 2566 นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า แนวโน้มการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมปี 2566 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10% เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตรถจักรยานยนต์

โดยเฉพาะการพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ที่นักลงทุนเริ่มใช้ไทยเป็นฐานการผลิตมากขึ้น อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) อาจจะกระทบการลงทุนแต่มองเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้นขณะที่การลงทุนภาคการผลิตเป็นการลงทุนที่มองระยะยาว

“อมตะเห็นการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตจักรยานยนต์ การพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของนักลงทุนที่จะเข้ามาทั้งนิคมอมตะซิตี้ ระยอง และนิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี โดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์นักลงทุนเริ่มใช้ประเทศไทยเป็นฐานมากขึ้น ซึ่งนิคมอมตะมีระบบสาธารณูปโภคเพียงพอเพื่อการรองรับ โดยเฉพาะไฟฟ้า ซึ่งบริษัทมีโรงไฟฟ้าเป็นของตัวเอง รวมถึงการพัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน”

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2565 โดยเฉพาะยอดขายที่ดินในประเทศไทย เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อยู่ 700 ไร่ โดยเฉพาะนิคมที่ จ.ชลบุรี ที่พบว่ามีการขายที่ดินดีมาก เนื่องจากนิคมของอมตะเป็นพื้นที่มีศักยภาพ สำหรับการลงทุนทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการลงทุนในพื้นที่นิคมฯถือเป็นกลไกหนึ่งที่จะสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวม

“ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยเป็นสิ่งที่กังวลเพราะจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนแต่เชื่อว่าเป็นเพียงระยะสั้นเพราะแต่ละโครงการเมื่อมีการตกลงซื้อขายที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กว่าจะพัฒนาโครงการและเดินเครื่องการผลิตต้องใช้เวลาอีก 1 ปี”

สำหรับการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในส่วนของ AMATA ได้วางแผนการบริหารตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่มีความจำเป็นออกไป เพิ่มรายได้ประจำ (Recurring Income) อาทิ ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ค่าเช่าอาคารโรงงานสำเร็จรูป ฯลฯ ซึ่งบริษัทมีรายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้นในระดับ 50% และหวังว่าจะมีสัดส่วนรายได้จาก recurring income เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

และในปี 2566 ธุรกิจสาธารณูปโภค น้ำ และไฟฟ้า มีการเติบโตต่อเนื่อง มาจากการลงทุนใหม่ และฐานการผลิตเดิม ทั้งนี้ การลงทุนใหม่ต้องพิจารณาจากปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้แก่ การเปิดประเทศของจีน ซึ่งไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน มีสิทธิประโยชน์ที่ดี โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้มีการปรับสิทธิประโยชน์ของประเทศไทยให้ดีขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยเองยังเลือกอุตสาหกรรมที่มีอนาคต มีการพัฒนาพลังงานทดแทนเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคการผลิต

“การพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ประเภทพลังงานทดแทน เป็นเรื่องเรามองข้ามไม่ได้ ซึ่งอมตะให้ความสำคัญกับตรงนี้ เพราะทิศทางของโลกมีความต้องการใช้พลังงานทดแทน เพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยต้องทำหน้าที่โดยมุ่งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ หรือที่เรียกว่า Net Zero Emission โดยเร็วที่สุด

ซึ่งอมตะได้พัฒนาธุรกิจที่สอดรับกับนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบ BCG model (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม (ESG) ถือเป็นหัวใจสำคัญ”