บีโอไอ ทิ้งทวนรัฐบาลประยุทธ์ อนุมัติโครงการลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท

บอร์ดบีโอไอ ขยายขอบเขตกลุ่มนักลงทุนขอ LTR Visa เพิ่มครอบคลุมอุตสาหกรรมเป้าหมายและความเชี่ยวชาญพิเศษ 15 สาขา ไม่จำกัดแค่ S-curve พร้อมอนุมัติโครงการลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท

วันที่ 20 มีนาคม 2566 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในการปรับปรุงคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน

โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย (Long-Term Resident Visa : LTR Visa) เพื่อให้การดึงดูดผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด อีกทั้งมีความยืดหยุ่นในการรับรองคุณสมบัติมากขึ้น

โดยบีโอไอได้เสนอให้เพิ่มเติมและปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อรับรองคุณสมบัติแก่ชาวต่างชาติที่มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษในสาขาที่ประเทศยังขาดแคลน (Highly Skilled Professional) รวม 15 สาขา ดังต่อไปนี้

  1. อุตสาหกรรมยานยนต์
  2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
  3. อุตสาหกรรมท่องเที่ยวระดับคุณภาพ
  4. อุตสาหกรรมการเกษตร อาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ
  5. อุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์
  6. อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์
  7. อุตสาหกรรมการบิน อากาศยานและอวกาศ
  8. อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ
  9. อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
  10. อุตสาหกรรมดิจิทัล
  11. อุตสาหกรรมการแพทย์
  12. อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ
  13. อุตสาหกรรมที่สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยตรง เช่น การผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
  14. ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (IBC)
  15. อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องทำงานโดยใช้ทักษะเชี่ยวชาญพิเศษในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น นักวิจัยในสาขาอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีเป้าหมาย หรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบดิจิทัล การเงิน สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญในโครงการบ่มเพาะสตาร์ตอัพ รวมทั้งองค์กรส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ

โดยการเพิ่มและปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมายของ LTR Visa ในครั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมอุตสาหกรรมเป้าหมาย และทักษะความเชี่ยวชาญในสาขาที่มีความสำคัญและประเทศยังขาดแคลน โดยเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงกลุ่มนี้ สามารถได้รับ LTR Visa เพื่อเข้ามาทำงานร่วมกับบุคลากรไทย จะเป็นประโยชน์ต่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการพัฒนาเศรษฐกิจการลงทุนของไทยได้ในระยะยาว

โดยปัจจุบันมีชาวต่างชาติมายื่นขอ LTR Visa แล้วกว่า 3,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน จีน และยุโรป

ADVERTISMENT
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

“เมื่อขยายขอบเขตไปหลายกลุ่มที่ไม่จำกัดแค่ S-curve จะทำให้เราได้คนเก่งทางด้านการเงิน การตลาด ซึ่งไทยต้องการคนเหล่านี้มาก คาดว่าอีก 6 เดือนนับจากนี้ ผู้มายื่นขอ LTR Visa จะเพิ่มเป็น 2 เท่า หรือสิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ 9,000 คน”

นอกจากนี้ บอร์ดยังอนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ รวมมูลค่า 56,615 ล้านบาท เช่น โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มูลค่าเงินลงทุน 32,710 ล้านบาท และโครงการโรงไฟฟ้าระบบ Cogeneration ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและสิงคโปร์ มูลค่าเงินลงทุน 5,005 ล้านบาท
กิจการดาต้าเซ็นเตอร์ ขนาดใหญ่ 2 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 10,371 ล้านบาท

ADVERTISMENT

และหนึ่งในนั้นเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างอังกฤษและสิงคโปร์ ที่เน้นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและจะใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลด Carbon Footprint

โครงการผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โครงการผลิตโลหะทองคำและเงินภายใต้รูปแบบโลหะผสม และโครงการกำจัดของเสียอุตสาหกรรม มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 8,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยังพบว่าเอกชนสนใจตั้งสำนักงานภูมิภาค ดังนั้นบีโอไอจึงร่วมกับกรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดให้บริการระบบ HQ Biz Portal ซึ่งเป็นศูนย์รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค และระบบนัดหมายออนไลน์ รวมทั้งได้จัดตั้งทีมงานร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย

สำหรับยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนกิจการสำนักงานภูมิภาคมาตั้งแต่ปี 2543 มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมกว่า 500 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 13,000 ล้านบาท โดยบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นมีสัดส่วนโครงการที่ได้รับการส่งเสริมสูงสุด 40% รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และฮ่องกง โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม 3 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์