เลขาฯสำนัก กขค.ป้ายแดง ลุยหาข้อเท็จจริง-สางคดีค้าง

ผศ.ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล
สัมภาษณ์พิเศษ

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าหรือ กขค. ได้เลขาธิการคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่บริหารงาน ในฐานะหัวหน้าสำนักงาน กขค. รับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักงาน ขึ้นตรงต่อประธานกรรมการ และเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานและลูกจ้างของสำนักงาน รวมทั้งเป็นผู้กลั่นกรองประเด็นที่จะเสนอคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า โดยจะพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้าหรือไม่ ซึ่งจะเข้าไปตรวจสอบภายใน 1 สัปดาห์ หากเข้าเงื่อนไขอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จะเสนอให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าพิจารณา โดยได้ประเดิมทำหน้าที่ในงานสำคัญ โดยการแสวงหาข้อเท็จจริงของข้อร้องเรียน “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ ผศ.ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า หรือ กขค.

ลุยแสวงหาข้อเท็จจริง

ผมมีแนวนโยบายในการจัดการระเบียบ เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง กรณีที่มีเรื่องร้องเรียนเข้ามา ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้ ตั้งแต่ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงาน กขค. เมื่อมีกรณีเรื่องร้องเรียนเข้ามา เบื้องต้นตนตั้งเป้าไว้ว่าไม่เกิน 1 สัปดาห์จะต้องสามารถรวบรวมข้อมูลและสรุปผลในเบื้องต้นได้ ว่าเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามานั้นเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม

เมื่อได้ข้อมูลที่ถูกรวบรวมและสรุปเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่แล้ว จะให้เวลาอีก 30 วัน ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รวบรวมมานั้น ว่าหากเข้าข่าย เข้าข่ายเพราะอะไร และหากไม่เข้าข่าย ไม่เข้าข่ายเพราะอะไร เพื่อสรุปผลวิเคราะห์ก่อนที่จะนำเสนอเข้าคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าเพื่อพิจารณา

และเมื่อนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาไปแล้ว ที่ประชุมสามารถเห็นแย้งหรือเห็นต่างได้ ในเรื่องที่ทางสำนักงานมีการเสนอเข้าไปเพื่อพิจารณา พร้อมทั้งสามารถตั้งอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษา หาข้อเท็จจริงจากข้อร้องเรียนที่ผู้ร้องร้องเข้ามา ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสมดุล และไม่ได้บ่งชี้ว่าเรามีการเอนเอียง หรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนเกินไป เพื่อสร้างบาลานซ์และความเป็นธรรมให้กับทางผู้ร้องและผู้ถูกร้องด้วย

สะสางข้อร้องเรียน

ปัจจุบันสำนักงานดำเนินการเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีร้องเรียนจำนวน 25 เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องร้องเรียนใหม่เข้ามา และการขอคำวินิจฉัยล่วงหน้าอย่างละ 1 เรื่อง อยู่ระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริงจำนวน 11 เรื่อง อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนจำนวน 9 เรื่อง และอยู่ระหว่างพิจารณาความผิดทางปกครองจำนวน 3 เรื่อง

โดยการดำเนินการส่วนใหญ่มีความคืบหน้าเกินกว่า 50% และมีเรื่องแล้วเสร็จจำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ ธุรกิจแฟรนไชส์ และธุรกิจรถยนต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนส่งบันทึกรายงานผลการแสวงหาข้อเท็จจริงเสนอต่อ กขค.พิจารณา ทั้งนี้ 70% ของเรื่องร้องเรียนเป็นกรณีความผิดตามมาตรา 57 พฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยเรื่องร้องเรียนที่ผู้ร้องร้องเข้ามายังสำนักงาน กขค. ส่วนใหญ่ผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และร้องเรียนด้วยตนเอง ที่สำนักงาน กขค.

อย่างไรก็ดี พยายามช่วยให้กรรมการ กขค. ทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับข้อมูล ข้อเท็จจริง เพื่อให้นำไปสู่การพิจารณาเพื่อหาข้อเท็จจริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าในบางคดีที่ยังคั่งค้างอาจจะต้องหาข้อมูลเพิ่ม

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องมีการรวบรวมข้อมูลและใช้เวลา แต่ในส่วนกรณีคดีใหม่หรือร้องเรียนใหม่ สำนักงานก็จะพยายามแสวงหาข้อมูลเหล่านั้นว่าเข้าข่ายหรือไม่ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาที่รวดเร็วและครบถ้วนมากขึ้น ทั้งนี้ เป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย

ให้ความเป็นธรรม

ตอนนี้มีคดีที่อยู่ในความสนใจและอยู่ระหว่างการศึกษารวบรวมข้อมูลอยู่หลายคดี การดำเนินการหาข้อเท็จจริงในกรณีข้อร้องเรียนต่าง ๆ จะเร็วหรือช้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำงานของเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียว แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ร้องเรียนด้วยในการรวบรวมข้อมูลเอกสารต่าง ๆ เพื่อนำเสนอ หากมีข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงพอจะสามารถทำให้เราวิเคราะห์และสรุปผลกรณีต่าง ๆ ได้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

“เรามีกฎหมายแข่งขันที่ดูแลเพื่อให้เกิดการค้าที่เป็นธรรม ไม่ได้อยากลงโทษเพื่อให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจไม่ได้ แต่สิ่งที่สำนักงานจะทำคือ การแสวงหาข้อเท็จจริง เชิญเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และผู้ประกอบการยังคงสามารถดำเนินกิจการไปได้ และจากประสบการณ์ที่เคยเป็นคณะกรรมการการแข่งขันมานั้น พบว่าผู้ประกอบการอาจจะขาดความเข้าใจ ซึ่งผมก็พร้อมที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการธุรกิจทุกระดับ เข้าใจในกฎหมายให้มากขึ้น”

ขึ้นค่าจีพี

สำหรับกรณีแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ค้าปลีกออนไลน์จะปรับขึ้นอัตราค่าธรรมเนียมการใช้บริการมาร์เก็ตเพลซ (Market Place) ทุกหมวดหมู่สูงสุดเท่าตัวตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 เป็นต้นไป โดยมีการปรับอัตราค่าธรรมเนียมจากเดิม ในอัตรา 2.14% (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แล้ว) เท่ากันทุกหมวดสินค้าเป็นอัตราใหม่ระหว่าง 3.21-4.28%

ทางสำนักงาน กขค.ได้รับรู้ข้อมูลดังกล่าวแล้ว และมีความห่วงใยผู้ประกอบธุรกิจซึ่งเป็นคู่ค้ากับแพลตฟอร์มจะได้รับผลกระทบจากการเรียกเก็บอัตราค่าธรรมเนียมที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อภาระต้นทุนของผู้ประกอบธุรกิจ รวมทั้งมีความกังวลใจว่าการปรับขึ้นอัตราค่าธรรมเนียมในครั้งนี้ อาจจะสุ่มเสี่ยงนำไปสู่ประเด็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มาตรา 54

ดังนั้น ทางสำนักงาน กขค.จึงได้เชิญผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ค้าปลีกออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาสอบถามเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงและเหตุผลในการปรับขึ้นอัตราค่าธรรมเนียม การบังคับใช้ขนส่งสินค้า รวมถึงการจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อกำหนดแนวทางในการติดตามและกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ทั้ง 2 ฝ่ายให้เป็นธรรม โดยเราเข้าใจว่าการดำเนินการธุรกิจต่าง ๆ นั้นล้วนที่จะต้องการกำไร หรือดำเนินธุรกิจไปได้

แต่สิ่งที่ทางสำนักงานทำนั้น ไม่ได้บอกว่าทำผิดหรือไม่ผิด แต่เพื่อแนะนำและชี้แจงว่าอาจจะกระทำสุ่มเสี่ยง โดยให้มีการดำเนินการปรับเปลี่ยน หรือปรับปรุงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมขึ้น