กุ้งล้นตลาดโลก ไทย-เอกวาดอร์-อินเดียผลผลิตทะลัก สหรัฐสต๊อกเต็ม ลดนำเข้า

กุ้งล้นตลาดโลก

กุ้งล้นตลาดโลกระส่ำ ไทย-เอกวาดอร์-อินเดีย ผลผลิตทะลัก ลูกค้าสหรัฐสต๊อกเต็ม ลดนำเข้า ทุบราคาโลกดิ่งหนัก เกษตรกรไทยติดบ่วง พาณิชย์-เกษตรฯเร่งกระตุ้นตลาด ชดเชยราคากุ้งให้เกษตรกรกิโลกรัมละ 20 บาท

วันที่ 29 มิถุนายน 2566 นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากแนวโน้มราคากุ้งขาวแวนนาไมที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กรมประมงขอแจงรายละเอียดข้อเท็จจริง ว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ประเทศไทยมีผลผลิตกุ้งทะเล (กุ้งขาวแวนนาไม และกุ้งกุลาดำ) จากการเพาะเลี้ยงปริมาณรวมทั้งสิ้น 100,600.45 ตัน โดยปริมาณเพิ่มขึ้น 8.18% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ซึ่งโดยปกติจากข้อมูลปี 2560-2565 พบว่าประเทศไทยจะมีผลผลิตกุ้งทะเลออกสู่ตลาดสูงในช่วงเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน โดยราคากุ้งจะตกต่ำ 2 ช่วงในรอบปีคือ ช่วงเดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคม และช่วงเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม

ประพันธ์ ลีปายะคุณ
ประพันธ์ ลีปายะคุณ

ซึ่งสถานการณ์การผลิตและราคากุ้งโลกในช่วงครึ่งปี 2566 พบว่าการผลิตกุ้งของประเทศเอกวาดอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตกุ้งหลักของโลกมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดภาวะผลผลิตกุ้งมากเกินความต้องการของประเทศผู้ซื้อ หรือภาวะ Over supply ของผลผลิตกุ้งในตลาดโลก

ขณะที่ประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกาชะลอคำสั่งซื้อ เนื่องจากปริมาณกุ้งในสต๊อกยังมีเพียงพอต่อการบริโภค จนกว่าสินค้าในสต๊อกจะได้รับการระบายออกสู่ตลาดจึงจะเริ่มคำสั่งซื้อใหม่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และภาวะเงินเฟ้อของประเทศผู้นำเข้า รวมถึงผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าราคาถูก สภาวะเช่นนี้ส่งผลให้ราคาขายกุ้งในตลาดโลก และราคาขายกุ้งภายในประเทศผู้ผลิตหลักทั่วโลกมีราคาลดต่ำลง

ด้วยปัจจัยทำให้ราคากุ้งในประเทศเอกวาดอร์รวมถึงตลาดโลกลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2566 มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตกุ้งของประเทศผู้ผลิตหลัก ทั้งอินเดีย เอกวาดอร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย

“ราคากุ้งตกต่ำยังคงเป็นวัฏจักรที่พบได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ความรุนแรงของผลกระทบอาจเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากตลาดผู้รับซื้อหรืออุปสงค์ที่มีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่ผลผลิตกุ้งหรืออุปทานมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

นายประพันธ์กล่าวว่า การแก้ปัญหาเพื่อให้อุตสาหกรรมกุ้งของไทยยังคงขับเคลื่อนต่อไปได้ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งควรหารือร่วมกับผู้ประกอบการห้องเย็นและโรงงานแปรรูป เพื่อวางแผนการผลิตกุ้งให้ได้ขนาด ปริมาณ และมีช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตตรงตามที่ตลาดต้องการ ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต โดยลดต้นทุนพลังงาน

เช่น การใช้โซลาร์เซลล์ การใช้จุลินทรีย์หรือการปรับรูปแบบการบริหารจัดการฟาร์มทดแทนการใช้ยาและสารเคมี การปล่อยลูกกุ้งลงเลี้ยงในอัตราความหนาแน่นที่เหมาะสม เพื่อลดความเสียหายระหว่างการเลี้ยง และการให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนค่าอาหารแล้ว ยังลดการสะสมของเสียในบ่อเลี้ยงซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคที่เป็นต้นทุนแฝงในการเลี้ยงกุ้งอีกด้วย

“แม้ว่าประเทศผู้นำเข้าจะชะลอคำสั่งซื้อ แต่หน่วยงานภาครัฐและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้จัดกิจกรรมและโครงการเพื่อกระตุ้นการบริโภคกุ้งภายในประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายกุ้งให้แก่เกษตรกร”

โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2566 คณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คบท.) เห็นชอบให้กรมการค้าภายในดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ปี 2566 ตามมาตรการเพิ่มช่องทางและเชื่อมโยงการจำหน่ายสำหรับการบริโภคภายในประเทศ โดยให้การสนับสนุนค่าชดเชยราคากุ้งให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ในอัตรา กก.ละไม่เกิน 20 บาท และค่าบริหารจัดการในส่วนของค่าใช้จ่ายดำเนินการด้านการตลาด

อาทิ ค่าจัดการด้านขนาดและคุณภาพ ค่าเก็บรักษา ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าขนส่ง ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งหรือผู้รวบรวมที่เข้าร่วมโครงการ ในอัตรา กก.ละไม่เกิน 10 บาท โดยมีปริมาณเป้าหมาย 5,000 ตัน ซึ่งเกษตรกรที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดในพื้นที่

“แม้ว่าสถานการณ์อุตสาหกรรมกุ้งโลกในปัจจุบันอาจไม่สู้ดีนัก และการกู้อุตสาหกรรมกุ้งของไทยให้กลับฟื้นคืนมาอีกครั้งจะเป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างมาก แต่หากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตรกร ตลอดจนสถาบันการศึกษา ร่วมมือ ร่วมแรง และร่วมใจกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ

โดยมุ่งเน้นเรื่องการลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการส่งเสริมการผลิตกุ้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด เชื่อจะทำให้การประกอบอาชีพของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งและธุรกิจเกี่ยวเนื่องมีความมั่นคงและยั่งยืนได้”