
ม.หอการค้า คาดความเป็น ไปได้ 3 แนวทางโหวตนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ชี้มีโอกาสสลายขั้วการจัดตั้งรัฐบาลสูตรใหม่ หลัง 8 พรรคตั้งไม่สำเร็จ “ประวิตร” ทางเลือกที่ 3 ม็อบไม่แรงศก.ยังโต 3.5%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวภายในงานสัมมนาเปิดโลกนวัตกรรม ก้าวทันเทรนด์การเงินยั่งยืนจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และธนาคารกรุงเทพ วันนี้ ว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 รอบที่ 2 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ว่า มีความเป็นไปได้ 3 แนวทางคือ
- ในหลวง พระราชินี เสด็จฯส่วนพระองค์ ทรงร่วมแข่งเรือใบ จ.ภูเก็ต
- เช็กที่นี่ เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท เดือนธันวาคม 2566 เงินเข้าวันไหน
- เปิดค่าตอบแทน “ผู้บริหาร” ยักษ์ บจ. BBL จ่ายพันล้านต่อปี ทิ้งห่างคู่แข่ง
การเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดการเปิดโหวตในรอบต่อไปได้อีก เนื่องจากการระดมเสียงเพิ่มอีก 50 กว่าเสียงภายใน 1 สัปดาห์ มีความเป็นไปได้ยาก
แนวทางที่ 2 หากพิจารณาตามกรอบ MOU 8 พรรคการเมืองที่ตกลงไว้ ก็มีความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน หรือนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งในกรณีนี้ อาจจะช่วยให้กระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีจะใช้เวลาสั้นลง และยังอยู่ในครรลองหลักประชาธิปไตย และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เร็วขึ้นภายในเดือนสิงหาคม 2566
และแนวทางที่ 3 คือ มีโอกาสที่จะมีการเสนอพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ก็อาจจะมีการหักขั้วเสนอรายชื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีท่านอื่นแทน
สำหรับแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจไทย คือการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและจัดตั้งขึ้นได้อย่างรวดเร็วที่สุด
“การรวมตัวจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคร่วมถือเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากที่สุด ณ ตอนนี้ แต่ หากกลุ่มพรรคร่วม 8 พรรคไม่สามารถเสนอชื่อนายกจัดตั้งรัฐบาลได้ แล้วมีการสลายขั้วก็ถือเป็นกระบวนการที่เหมาะสมตามแนวทางประชาธิปไตย”
ส่วนการแสดงออกอย่างสันติ การประท้วงในพื้นที่ที่จัดไว้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ หากไม่มีการใช้ความรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ห ากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2566 จะเป็นผลดีต่อการจัดทำงบประมาณประจำปี 2567 ทำให้ภาคธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รู้ทิศทางนโยบายในการพัฒนาประเทศ และมั่นใจตัดสินใจลงทุน สิ่งสำคัญคือบรรยากาศการเมืองที่ทีเสถียรภาพ หากได้รัฐบาลเสียงข้างมากที่มีเสถียรภาพ หรือได้รัฐบาลที่สามารถจัดตั้งได้เร็วภายในกรอบ
ทางศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองการเติบโตเศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้ยังขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 3.5 โดยเฉพาะในไตรมาส 4 เศรษฐไทยจะโดดเด่น การส่งออกจะคลี่คลายขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 25-30 ล้านคน ส่งผลให้ภาวะการจับจ่ายใช้สอยในประเทศจะดีขึ้น