ไทยใช้สิทธิ FTA ส่งออก 7 เดือนแรกปี 2566 สูงสุด 74.94% อาเซียนใช้มากสุด

กรมการค้าต่างประเทศ เผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA ใน 7 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่ารวม 46,183.48 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุด 74.94% อาเซียนยังครองแชมป์ตลาดที่มีการใช้สิทธิส่งออกมากที่สุด ตามติดมาด้วยอาเซียน-จีน ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-ออสเตรเลีย อาเซียน-อินเดีย

วันที่ 23 ตุลาคม 2566 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2566 มีมูลค่ารวม 46,183.48 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิสูงถึง 74.94% โดยสถิติการใช้สิทธิภายใต้ FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

อันดับ 1 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (มูลค่า 16,487.78 ล้านเหรียญสหรัฐ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 72.72% โดยเป็นการใช้สิทธิส่งออกไปอินโดนีเซียสูงสุด มูลค่า 4,186.74 ล้านเหรียญสหรัฐ มาเลเซีย มูลค่า 4,022.77 ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนาม มูลค่า 3,663.11 ล้านเหรียญสหรัฐ และฟิลิปปินส์ มูลค่า 2,850.93 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิ อาทิ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ (น้ำหนักไม่เกิน 5 ตัน) น้ำตาล น้ำมันปิโตรเลียมและน้ำมันจากแร่บิทูมินัส และรถยนต์เพื่อขนส่งบุคคล (1,500-2,500 CC) และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

อันดับ 2 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) (มูลค่า 14,264.86 ล้านเหรียญสหรัฐ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 93.97% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิ อาทิ ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มันสำปะหลัง น้ำตาลอื่น ๆ รวมถึงแล็กโทส มอลโทส กลูโคส และฟรักโทส ที่บริสุทธิ์ในทางเคมี ฝรั่ง มะม่วง และมังคุด เป็นต้น

อันดับ 3 ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) (มูลค่า 3,758.38 ล้านเหรียญสหรัฐ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 71.66% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิ อาทิ เนื้อไก่และเครื่องในไก่ปรุงแต่ง เนื้อไก่แช่แข็ง เดกซ์ทรินและโมดิไฟด์สตาร์ช ลวดและเคเบิลทำด้วยทองแดง น้ำมันเบากระสอบและถุงทำด้วยพอลิเมอร์ของเอทิลีน และกุ้งปรุงแต่ง เป็นต้น

อันดับ 4 ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) (มูลค่า 3,344.63 ล้านเหรียญสหรัฐ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 60.68% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิ อาทิ รถยนต์และยานยนต์อื่น ๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) รถยนต์ขนส่งบุคคลขนาด 2,500 CC ขึ้นไป ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ ปลาทูน่าปรุงแต่ง และรถยนต์ขนส่งบุคคลขนาดขนาด 1,000-1,500 CC เป็นต้น

อันดับ 5 ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) (มูลค่า 3,085.65 ล้านเหรียญสหรัฐ) มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 67.44% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิ อาทิ ลวดทองแดง สารประกอบออร์แกโน-อินออร์แกนิก เครื่องรับสำหรับวิทยุกระจายเสียง ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ และพอลิเมอร์ของไวนิลคลอไรด์หรือของฮาโลเจเนเต็ดโอเลฟิน เป็นต้น

สำหรับความตกลง RCEP ในเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2566 มีการส่งออกไปยัง 10 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา มีมูลค่าการใช้สิทธิ รวม 810.35 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 54.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญภายใต้ความตกลง RCEP อาทิ น้ำมันหล่อลื่น เครื่องดื่มชูกำลัง ปลาทูน่ากระป๋อง มันสำปะหลังเส้น หัวเทียน เลนส์ ปริซึม และกระจกเงา และวัตถุเชิงทัศนศาสตร์ เป็นต้น

ไทยมีความตกลงภายใต้ FTA 14 ฉบับกับ 18 ประเทศคู่ค้า โดยการใช้สิทธิ จะเป็นกุญแจสำคัญที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ส่งออกไทยให้สามารถลดหรือยกเว้นภาษีศุลกากรขาเข้า ณ ประเทศปลายทางได้ ซึ่งเป็นการสร้างแต้มต่อทางภาษีและกระตุ้นการสั่งซื้อได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกจะต้องตระหนักรู้ถึงกฎ ระเบียบและมาตรการต่าง ๆ ที่เป็นไปตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อให้ได้รับสิทธิดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศพร้อมให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า ผู้ประกอบการสามารถค้นหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือโทร.สายด่วน 1385 รวมถึงไลน์แอปพลิเคชั่น ชื่อบัญชี “@gsp_helper”