
“ภูมิธรรม” สั่งตั้งคณะทำงานอ้อยและน้ำตาลร่วม 4 ฝ่าย พาณิชย์-เกษตร-อุตสาหกรรม-ชาวไร่อ้อย หาทางออก ขีดเส้นหาข้อสรุปภายใน 1 เดือนก่อนเปิดหีบ พ.ย.-ธ.ค. 2566 นี้ ขณะที่ชาวไร่อ้อยพอใจผลหารือ สั่งชาวไร่ทั่วประเทศระงับ “ปิดโรงงานน้ำตาล” 6 พ.ย. ก่อน
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับตัวแทนชาวไร่อ้อย 4 องค์กรชาวไร่อ้อย ประกอบด้วย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ว่าจากการหารือกระทรวงพาณิชย์ได้รับฟังความเดือดร้อน และข้อกังวลของชาวไร่ กรณีที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ได้ประกาศให้น้ำตาลทรายเป็นสินค้าควบคุม
ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบในการตั้งจึงได้ตั้งคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล โดยมีนายยรรยง พวงราช ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นเลขาฯ และมีอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงตัวแทนจากกระทรวงอุตสาหกรรมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และชาวไร่อ้อย 4 คน รวมเป็นคณะทำงานด้วย
โดยให้ประชุมหาข้อสรุปแนวทางปัญหา รวมไปถึงข้อเสนอแนะการแก้ปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย โดยให้เวลากรอบทำงานภายใน 1 เดือน ก่อนที่จะมีการเปิดหีบ หากสามารถได้ข้อสรุปเร็วก็สามารถดำเนินการได้ทันที
อย่างไรก็ตาม สำหรับประกาศราคาควบคุมน้ำตาล ควบคุมการส่งออก ยังคงเดินหน้าต่อไป สำหรับการหาทางออกให้ทุกฝ่าย เชื่อว่า “คณะทำงานชุดนี้ จะสามารถหาทางออกร่วมกัน เพื่ออุตสาหกรรมทั้งระบบ และเกิดความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล”
อย่างไรก็ดี เมื่อได้ข้อสรุปก็ให้เสนอมา รัฐบาลพร้อมที่จะรับฟังเพื่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เพื่อการเติบโตของอุตสาหกรรม การสร้างรายได้เข้าประเทศ แม้กระทั่งให้นำออกจากบัญชีสินค้าควบคุมก็พร้อมทำ แต่ต้องเป็นทางออกของทุกฝ่าย และคุยให้ครบทุกฝ่าย เร็ว ๆ นี้ โดยจะประชุมนัดแรกวันที่ 6 พ.ย.นี้
นายกำธร กิตติโชติทรัพย์ นายกสมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อยเขต 7 กาญจนบุรี กล่าวว่า จากการหารือครั้งนี้ ชาวอ้อยมีความพอใจในแนวทางที่ให้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเจรจาหาทางออกแก้ปัญหาอ้อยและน้ำตาลทรายร่วมกัน
ดังนั้น ชาวไร่อ้อยจึงมีความเห็นร่วมกัน ที่จะระงับมาตรการปิดโรงงานผลิตน้ำตาลทั่วประเทศ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 ไว้ก่อน เพื่อได้มีเวลาหารือดูแลราคาน้ำตาลและอ้อยร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งคาดจะได้ข้อสรุปก่อนมีการเปิดหีบอ้อยช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน หรือต้นเดือนธันวาคม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผลผลิตที่จะออก
ทั้งนี้ สมาคมยืนยันว่าแม้ปีนี้ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลจะลดลงจากภาวะภัยแล้ง แต่ยังคงมีปริมาณน้ำตาลทรายเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศแน่นอน ขณะที่ต้นทุนการปลูกอ้อยของเกษตรกรอยู่ที่ตันละ 1,400 บาท ซึ่งเท่ากับราคาน้ำตาลทรายที่ กก. ละ 22 บาท ปัจจุบันเรามีโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ 57 โรงงาน
ส่วนการลักลอบส่งออกตามชายแดน ยืนยันทางผู้ผลิตได้มีระบบควบคุมตรวจสอบตั้งแต่ต้นทางอยู่แล้วว่า ขายให้ใคร ปริมาณเท่าไร ซึ่งจะดูแลไม่ให้เกิดการลักลอบได้ระดับหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่าน้ำตาลทรายดิบ และน้ำตาลทรายขาวเท่าไร ซึ่งเรารู้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง