วานนี้ (19 เม.ย.61) นายแจ็ค หม่า ประธานกรรมการบริหารกลุ่มอาลีบาบา กล่าวช่วงหนึ่งในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาครัฐของไทยกับบริษัทในเครืออาลีบาบา กรุ๊ป เพื่อส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ความว่า
จีนกำลังก้าวขึ้นสู่การเป็นตลาดผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยการขยายตัวของกำลังซื้อของคนชั้นกลางที่มีจำนวนมากกว่า 300 ล้านคนในปัจจุบัน ประกอบกับนโยบายเปิดการค้าเสรีของจีน คงไม่มีเวลาที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ที่ประเทศต่าง ๆ จะใช้โอกาสนี้ในการส่งสินค้าไปยังตลาดจีน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- รักษาการอธิบดี DSI เปิดเงื่อนไข “ขนย้ายกากแคดเมียม” เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
ที่สำคัญคือผลิตผลทางการเกษตรของไทย ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิ ทุเรียน หรือผลไม้ต่าง ๆ ล้วนเป็นสินค้าที่ชาวจีนชื่นชอบ ด้วยจุดแข็งในเรื่องผู้คนและวัฒนธรรมของไทย ประกอบกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ทำให้เรามั่นใจในอนาคตและศักยภาพการเติบโตของไทย ทั้งนี้ กลุ่มอาลีบาบายืนยันที่จะเป็นพันธมิตรในระยะยาวกับประเทศไทยในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โลกดิจิทัล
นายแจ็ค หม่า ยังกล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายมีความเป็นห่วงด้วยว่า การเข้ามาลงทุนของอาลีบาบาจะผูกขาดตลาดการค้าออนไลน์ในไทย โดยทางอาลีบาบายืนยันว่าเราไม่ได้ทำธุรกิจที่มุ่งแสวงหากำไรหรือผูกขาดทางการค้า แต่เราเน้นการสร้างความสามารถให้ธุรกิจและคนรุ่นใหม่ประสบความสำเร็จ เพราะกำลังคนเรายังมีไม่เพียงพอ และหากเราได้คนที่ประสบความสำเร็จเข้ามาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ เราก็จะสำเร็จไปด้วยกัน
นอกจากนี้ นายแจ็ค หม่า ยังกล่าวอีกว่า ทางอาลีบาบา เราไม่ต้องการทำสงครามทางการค้าไม่ว่ากับประเทศไหน เพราะเชื่อในการค้าเสรี ซึ่งทำให้ทุกคนสามารถค้าขายกันได้ทั่วโลก
ส่วนในเรื่องของอภิสิทธิ์ด้านการลงทุนนั้น ประธานกรรมการบริหารกลุ่มอาลีบาบา กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลจะให้ใครก็ควรไปให้บริษัทเล็กๆ มากกว่ามาให้อาลีบาบา ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นนโยบายที่ดีของรัฐบาล