จับตาข้าวนาปรังลุ่มเจ้าพระยาทะลุแผน 135% น้ำท่วมใต้กลับสู่ปกติใน 2 สัปดาห์

ข้าว

น้ำท่วมภาคใต้ คาดว่าสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ กรมชลประทานชี้สถานการณ์น้ำเพิ่มเกิน 77% ปลูกนาปรังลุ่มเจ้าพระยาทะลุแผน 135%

วันที่ 5 มกราคม 2567 รายงานข่าวจากกรมชลประทานเปิดเผยสถานการณ์น้ำปัจจุบัน (4 ม.ค. 67) ว่า พื้นที่ภาคใต้บริเวณจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่ประสบปัญหาอุทกภัยในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ปัจจุบันสถานการณ์น้ำในแม่น้ำสายหลัก อาทิ แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำบางนรา และแม่น้ำโก-ลก เริ่มคลี่คลายแล้ว ยังคงเหลือสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งที่แม่น้ำปัตตานี บริเวณบ้านบริดอ อ.ปัตตานี สำนักงานชลประทานที่ 17

โดยโครงการชลประทานปัตตานียังคงเดินหน้าช่วยเหลือพื้นที่อย่างต่อเนื่อง คาดว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 2-3 สัปดาห์นี้

สำหรับภาพรวมโครงการอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 58,517 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 77% ของความจุอ่างรวมกัน เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 17,138 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 69% ของความจุอ่างรวมกัน

ทั้งนี้ กรมชลประทานได้วางแผนจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้งปี 2566/67 ตามปริมาณน้ำต้นทุนที่มี ด้วยการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นหลัก รักษาระบบนิเวศ การเกษตร อุตสาหกรรม และสำรองไว้ใช้ในต้นฤดูฝนหน้าตามลำดับ จนถึงขณะนี้มีการจัดสรรน้ำในช่วงฤดูแล้งทั้งประเทศไปแล้วกว่า 7,369 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 34% เฉพาะลุ่มเจ้าพระยามีการใช้น้ำไปแล้วประมาณ 2,163 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 36%

ปัจจุบันทั้งประเทศมีการเพาะปลูกข้าวนาปรังไปแล้ว 5.58 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 96 ของแผน เฉพาะลุ่มเจ้าพระยา มีการเพาะปลูกข้าวนาปรังไปแล้ว 4.09 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 135 ของแผน

“ภาพรวมสถานการณ์น้ำอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถึงอย่างไรยังคงต้องติดตามพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังอย่างใกล้ชิด พร้อมประชาสัมพันธ์ถึงสถานการณ์น้ำให้เกษตรกรและประชาชนรับรู้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงผลผลิตเสียหาย รวมทั้งรณรงค์ให้เกษตรกรเก็บกักน้ำไว้ในบ่อสำรอง เพื่อสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้า ตลอดจนเชิญชวนให้เกษตรกรหันมาทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำได้ถึง 20-30% เพื่อเป็นการประหยัดน้ำ ทั้งยังช่วยลดการใช้ปุ๋ย ทำให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย”