
“ภูมิธรรม” สั่งกรมการค้าต่างประเทศลุย “จีทูจี” โฉมใหม่ไม่ขายถูก รัฐนำเอกชนตาม ประเดิมลอตแรก อินโดนีเซีย 1 ล้านตัน-เอกชน 1 ล้านตัน เดินหน้าสู่เป้าหมาย 7.5 ล้านตัน ปี’67 พร้อมลุยยกเครื่อง อคส. เตรียมปั้นศูนย์กระจายสินค้า
นายภูมิธรรม เวชยชัย เปิดเผยว่า ปีนี้กระทรวงตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวไว้ไม่ต่ำกว่าเป้าหมายปี 2566 ปริมาณ 7.5 ล้านตัน และสิ่งสำคัญจะต้องเน้นการเพิ่มระดับราคาต่อหน่วยที่ดีขึ้น โดยขณะนี้ได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการเจรจาขยายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (GtoG) ปริมาณ 1 ล้านตัน และเจรจาขายแบบเอกชนอีก 1 ล้านตัน

ซึ่งคำสั่งซื้อดังกล่าว เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2567 ได้พิจารณาเห็นชอบให้มีการเจรจาสานต่อหลังจากที่นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง (เศรษฐา ทวีสิน) ได้ไปเจรจาขายข้าวให้กับประธานาธิบดีอินโดนีเซียก่อนหน้านี้
“ในช่วงปีใหม่จากที่ได้หารือกับตัวแทนสมาคมผู้ส่งออกข้าว และสมาคมโรงสีข้าวไทย รวมถึงสมาคมผู้ส่งออกสินค้าทางเรือ ต่างประเมินว่าแนวโน้มการส่งออกสินค้าเกษตรจะดีขึ้น โดยในส่วนของสินค้าข้าวปี 2566 คาดว่าจะทำได้ 8.5 ล้านตัน สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 7.5 ล้านตัน”
ส่วนในปีนี้ไทยต้องเร่งทำตลาดส่งออก เราไม่กลัวการที่อินเดียจะกลับมาส่งออกในช่วงกลางปี โดยได้เริ่มนำร่องให้เจรจากับตลาดอินโดนีเซียก่อน คาดว่าจะได้ความชัดเจนในเดือนนี้
“การเจรจากับอินโดนีเซียตอนนี้นัดไปแล้ว ให้กรมการค้าต่างประเทศ ไปก่อน ไปคุยกับบูล็อก รัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานจัดซื้อข้าวก่อน ยังไม่ได้กำหนดราคา แต่ให้ลองดูเงื่อนไขเขา เราจะทำจีทูจี 1 ล้านตัน และให้เอกชน 1 ล้านตัน”
“เรากังวลว่าว่าคนจะยึดติดภาพเดิม เราไม่อยากให้เห็นว่าเป็นจีทูจีรูปแบบเดิม แต่อยากให้มองใหม่ ว่าปรับเปลี่ยนให้ภาครัฐนำเอกชนตาม ไม่ใช่จีทูจีแบบที่รัฐไปขายเองในราคาถูก แต่รัฐจะไปเป็นประกันให้ว่าถ้าซื้อจีทูจีจะมีข้าวส่งมอบแน่นอน รัฐบาลเป็นหัวหอกไปเจรจา แต่เอกชนเป็นผู้สนับสนุน”
นอกจากแผนการทำจีทูจีอินโดนีเซียแล้ว กระทรวงจะต้องรอผลสรุปในส่วนของการขยายระยะเวลาส่งมอบข้าวสัญญา GtoG กับคอฟโก้ รัฐวิสาหกิจจีนในสัปดาห์หน้าอีก 280,000 ตันให้สำเร็จ และตนจะนำคณะเดินทางไปเจรจาขยายตลาดข้าวที่นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐ ระหว่างวันที่ 17-22 มกราคมนี้ เพื่อจัดกิจกรรมโปรโมตข้าวไทย
ทั้งยังมีแผนจะขยายการเจรจากับอีกหลายประเทศ เช่น ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง รวมถึงอิหร่านซึ่งจะต้องปลดล็อกเรื่องการชำระเงินจากที่ถูกใช้มาตรการแซงก์ชั่นจากตะวันตก เพราะการส่งออกสินค้าข้าวถือว่าเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตไม่ควรนำมาตรการแซงก์ชั่นมาใช้
สำหรับภาพรวมการส่งออกข้าว 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) 2566 มีปริมาณ 7.94 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 14.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่า 159,550.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งตามชนิดข้าวเป็นข้าวขาว 4.47 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 31% ข้าวนึ่ง 1.32 ล้านตัน ลดลง 0.9% ข้าวหอมมะลิ 1.44 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.6% ข้าวหอมไทย 474,806 ตัน เพิ่มขึ้น 9.3% ข้าวเหนียว 227,012 ตัน ลดลง 25%
ส่วนตลาดส่งออกข้าวไทย เบอร์ 1 ได้แก่ อินโดนีเซีย 1.27 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2,144.7% แอฟริกา 876,184 ตัน เพิ่มขึ้น 26.6% อิรัก 814,805 ตัน ลดลง 44.2% สหรัฐ 648,946 ตัน เพิ่มขึ้น 8.9% และจีน 367,204 ตัน ลดลง 44%
พร้อมกันนี้ กระทรวงพาณิชย์มีแผนจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ซึ่งมุ่งจะให้อคส.ทำหน้าที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าได้ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่บุคลากรใน อคส.จะต้องปรับเปลี่ยน ต้องสร้างความมั่นใจให้ได้ว่า อคส.จะสามารถปรับทิศทางการทำงานได้
“ศูนย์กระจายสินค้า วางแผนจะทำ ถ้า อคส.แข็งแรงจะทำอะไรก็ได้หมด จะไปทำศูนย์กระจายสินค้าที่ต่างประเทศ หรือที่ภูมิภาคก็ได้ หากมีศูนย์กระจายสินค้าจะช่วยอะไรอีกมาก อคส.ต้องทำให้มั่นใจจากภาพลักษณ์ที่มีอยู่ก็ต้องเคลียร์ให้ชัดเจน เพื่อจะไม่ติดใจ ต้องพิสูจน์ให้เห็นเลยว่าจะทำอย่างไร ผมเร่งเครื่อง อคส. เพราะทุกอันของกระทรวงพาณิชย์ ผมเข้าไปดูไปศึกษาหมดแล้ว”