ไชยา รมช.เกษตร ถูกกันไม่ให้เข้าห้องตรวจสอบความเสียหายเพลิงไหม้ มั่นใจห้องที่ปรึกษาที่ไฟไหม้ ไม่กระทบเอกสารสำคัญแน่ เพราะเก็บในระบบคลาวด์ ท้าเปิดกล้องวงจรปิดดูว่า “เจ๋ง ดอกจิก” มาพบใคร
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เดินทางไปที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ซึ่งเป็นห้องทำงานของคณะที่ปรึกษา แต่สุดท้ายไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานยังตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งยังเป็นที่เกิดเหตุจึงยังไม่อนุญาตให้ใครเข้าพื้นที่
- ทุเรียนทะลักวันละพันตู้ ล้งเบรกซื้อ ฉุดราคาดิ่งเหลือโลละ 135-140 บาท
- กรมอุตุฯเตือน 6-12 พ.ค.นี้ ลมเปลี่ยนทิศ-แปรปรวน ฝนตกหนัก ท่วมฉับพลัน
- เปิดราคา Trade In “iPad” ก่อนเปิดตัวรุ่นใหม่ ลดสูงสุด 23,200 บาท
โดยได้ให้สัมภาษณ์ว่า ข่าวว่าเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นเป็นการเผาทำลายหลักฐาน จึงไม่เป็นความจริง โดย ได้รับรายงานว่าต้นเพลิงเกิดขึ้นที่บริเวณห้องครัว ก่อนจะลามไปที่ห้องประชุมของคณะทำงาน โดยยืนยันว่าในห้องคณะทำงานดังกล่าวไม่ได้มีเอกสารสำคัญเก็บไว้ มีแต่เอกสารไปเปิดงานทั่วไป ส่วนเอกสารสำคัญของโครงการต่างๆ ตนเองได้เก็บไว้ในระบบคลาวด์ หรือ ระบบจัดเก็บข้อมูลออนไลน์ในคอมพิวเตอร์ทั้งหมด เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้เก็บไว้ที่ห้องดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้เชื่อมโยงประเด็นการเมือง ว่านายศรีสุวรรณ จรรยา และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” มาเข้าพบตนเองบ่อยครั้ง โดยขอยืนยันว่าตนเองไม่ได้คุมกรมการข้าว จึงไม่เกี่ยวกับบุคคลทั้งสอง
ส่วนที่มีการตั้งข้อสงสัยว่านายเจ๋งไปกระทรวงเกษตรฯ ตนเองก็อยากท้าให้เอากล้องวงจรปิดมาเปิดดูได้เลยว่าไปพบใครกันแน่ แต่ไม่ได้ไปพบกับตนเอง หรือที่ปรึกษาของตนเองแน่นอน เพราะที่ปรึกษาก็ไม่มีอำนาจสั่งการอะไรได้
“ยิ่งดีเลย กลัวก็แต่ว่ากล้องวงจรปิดจะเสีย”
ส่วนโครงการที่เกี่ยวข้องในกรมฝนหลวง ทั้งคู่ก็ไม่ได้มายื่นหนังสือกับตนเอง แต่ยื่นกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และที่ปรึกษาทางกฎหมายของรัฐมนตรีเป็นผู้รับเรื่อง
แต่ยอมรับว่าสมัยที่ตนเองเคยเป็นประธานกรรมาธิการฯ ติดตามกานบริหารงานงบประมาณ นายเจ๋งเคยมายื่นเรื่องร้องเรียนกับตนเองหลายครั้ง แต่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ภายในกรรมาธิการ ซึ่งเป็นเรื่องปกติตามกลไกของสภา เมื่อตนเองมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ก็ไม่ได้พบบุคคลทั้งสองที่กระทรวงอีกเลย แต่อาจเจอกันตามสถานที่ภายนอก
“แม้จะดูแลกรมฝนหลวง แต่เป็นการกำกับในนโยบาย ไม่มีอำนาจในการอนุมัติงบประมาณ และการบริหารบุคคล ดังนั้นเมื่อมีการยื่นร้องเรียนโครงการที่อยู่ในอำนาจของกรมฝนหลวงฯ ผ่านเข้ามาในระบบจากบุคคลภายนอก ตนเองก็ได้ทำบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเป็นเรื่องที่จะต้องตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ว่าเป็นไปตามเข้าโรงเรียนหรือไม่ และให้หน่วยงานดังกล่าวได้ชี้แจง รวมถึงมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น ซึ่งก็ได้มีรายงานตอบกลับชี้แจงในประเด็นที่มีข้อสงสัยมาแล้ว”
ส่วนที่มีข่าวว่า มีรัฐมนตรีช่วยที่กำกับดูแลเป็นคนให้ข้อมูลกับนายเจ๋ง ไปยื่นเรื่องร้องกรรมาธิการฯ ก็เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะตอนนี้ตนเองเป็นรัฐมนตรีช่วย สามารถดูแลกำกับนโยบาย เป็นฝ่ายบริหาร เมื่อเห็นการบริหารงานที่ไม่ถูกต้อง ก็สามารถใช้อำนาจหน้าที่ฝ่ายบริหารได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องยืมมือกรรมาธิการ