ส่องทิศทาง “ราคายาง 3 หลัก” กยท.เปิดตัว “ล้อยาง” ลุย EUDR

EUDR

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน “TyreXpo Asia 2024” ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย งานนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Your One-Stop Show for Tyres, Automotive Repair & Maintenance and Tyre Accessories” โดยมีการนำผู้ประกอบการ แบรนด์สินค้าชั้นนำด้านยางล้อและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกว่า 250 แบรนด์ จากกว่า 90 บริษัทมาเข้าร่วม

ไฮไลต์ที่น่าจับตามอง ภายในงานได้มีการจัดกิจกรรมเปิดตัวล้อยางแบรนด์ Greenergy Tyre ซึ่งเป็นสินค้าแรก เป็นปฐมฤกษ์ของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ด้วย

ก่อนหน้านี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “ดร.เพิก เลิศวังพง” ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (บอร์ด กยท.) ถึงภารกิจเมื่อแรกก้าวเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2567 ซึ่งได้เล่าถึง 2 ใน 7 ภารกิจการที่มุ่งดำเนินงาน คือ การวางมาตรฐานการผลิตยางรองรับมาตรฐาน EU Deforestation free product (EUDR)

และภารกิจการทำล้อยางแบรนด์ Thai Tyre ซึ่งเป็นชื่อแรกก่อนจะมาเปลี่ยนเป็น Greenergy Tyre ในครั้งนี้เพื่อสะท้อนว่า ไทยมีความพร้อมในด้านวัตถุดิบ โดยมีผลผลิตยางธรรมชาติต่อปี 4 ล้านตัน สามารถนำไปแปรรูปเป็นยางล้อ Greenergy Tyre ซึ่งจะผ่านกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับว่า “ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า” นั่นเอง

โอกาสราคายางพุ่ง 3 หลัก

มาครั้งนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “ดร.เพิก” อีกครั้งได้รับคำยืนยันว่า

“ราคายางไปแน่นอน ไม่ต้องกลัว เพราะสิ่งที่ กยท.ทำไว้ เป็นเรื่องของการส่งเสริมการผลิตยางให้ได้ตามมาตรฐานการตรวจสอบย้อนกลับ EUDR เป็นเรื่องที่ตลาดทั่วโลกต้องการใช้ และยังผลิตไม่พอ ซึ่งเราดำเนินการมาถูกทิศทาง โดยวางรากฐานไว้ตั้งแต่ปลายปี 2566 หลังจากมารับตำแหน่ง วันนี้ก็ส่งผลดี ล่าสุดที่คิกออฟโครงการนี้ที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อให้ทั่วโลกรู้ว่าเราเป็นผู้ผลิตยางที่สามารถรักษา สถานะความเป็นหนึ่งไว้ได้ ตามทันโลก”

ADVERTISMENT

“ขณะนี้ประเทศผู้ปลูกยางยังไม่สามารถทำเรื่อง EUDR ได้ แต่ไทยทำได้ โดยคาดว่าปีนี้เราทำ EUDR ได้ 1 ล้านตัน ปีหน้า ขยับเป็น 2 ล้านตัน ซึ่งยังไม่พอต่อความต้องการของโลก ดังนั้น ราคายาง 3 หลัก ปลายปีนี้ได้เห็นแน่นอน”

ล้อยางดันความต้องการใช้ยางพุ่ง

อย่างไรก็ตาม เรื่องราคายางกับเรื่องผลิตภัณฑ์ยังต้องมองแยกกัน เพราะตอนนี้ผลิตภัณฑ์ของ กยท.ยังมีปริมาณน้อยเกินกว่าจะไปดึงราคายางให้เปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่เป็นทิศทางที่เราทำไว้เพื่อรองรับในอนาคต โดยขณะนี้กระบวนการผลิตล้อเริ่มจากรับซื้อวัตถุดิบน้ำยางของเกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ซึ่งอยู่ในระบบทะเบียนของ กยท. ซึ่งอาจจะมีประมาณหลักร้อยตัน

ADVERTISMENT

“ตอนนี้คิดเฉลี่ย ยาง 1 เส้น ใช้น้ำยาง 2 กิโลกรัม หากผลิตลอตแรก 20,000 เส้น จะใช้ยาง 40,000 กิโลกรัม หรือคิดเป็น 40 ตัน แต่ในอนาคตจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งเราวางแผนจะเพิ่มการใช้ไปเรื่อย ๆ ในอนาคต ซึ่งเราตั้งเป้าทำยางแต่ละรุ่น 100,000 เส้นต่อเดือน เพื่อไปรองรับผลผลิตยางในอนาคต ซึ่งการจะเพิ่มปริมาณการผลิตยางนั้น จะดำเนินการต่อไปหลังจากที่รู้จักตลาดและกลุ่มลูกค้าก่อนว่าเป็นกลุ่มไหน ควรเพิ่มสินค้าประเภทไหน”

ล้อยาง กยท.ไม่บุกรุกป่า

การที่เลือกใช้ยางจากเกษตรกรที่ กยท.รับรอง ทำให้ทราบข้อมูลระบุพิกัดที่ตั้งสวนยางชัดเจน และซื้อขายผ่านตลาดกลางยางพารา กยท. ก่อนส่งเข้าโรงงานแปรรูปเป็นยาง STR และโรงงานผลิตยางล้อ Greenergy Tyre ทำให้ทุกขั้นตอนของการซื้อขายหรือส่งต่อสินค้าจะสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งกำเนิดได้ทุกเส้น ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์สามารถมั่นใจได้ถึงคุณภาพและแหล่งที่มาของวัตถุดิบว่ามีมาตรฐานในระดับที่สากลยอมรับ

ประเดิมทำ ดีลเลอร์ กวาดหมด

ล่าสุดเตรียมขยายการผลิตจากรถยนต์โดยสารส่วนบุคคลไปสู่ตลาด “ยางล้อ” สำหรับการขนส่ง เพราะตลาดนี้มีความต้องการใช้ยางจำนวนมาก เราต้องเรียนรู้เรื่องการตลาดควบคู่กันไปด้วย

สำหรับการทำการตลาดสินค้าลอตแรกนี้ ทาง กยท.กระจายผ่านดีลเลอร์ไปหมด เพราะดีลเลอร์มีความมั่นใจว่าสินค้า กยท.มีคุณภาพ ทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าจำหน่ายหมดแน่ และสินค้าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ และสามารถจำหน่ายได้ราคาที่มีกำไร

“ราคายางของ กยท. เราวางอยู่ในระดับกลาง ๆ เพื่อให้ชาวบ้านและประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ แต่คุณภาพมาตรฐานเราถอดมาตรฐานการผลิตแบบที่ดึงโมเดลมาจากผู้นำตลาดยางล้อที่เป็นเจ้าตลาดเลย แต่ต้นทุนเราต่ำกว่าเพราะไม่ได้มีค่าการตลาดอะไรมาก”

ขายล้อคืนรายได้สู่ กยท.

ในเบื้องต้นภายในงานมีผู้เข้าเยี่ยมชมงานเฉพาะวันแรก 2,000 คน และมีผู้ประกอบการสนใจซื้อยางล้อและวัตถุดิบยางเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยางล้อ คิดเป็นรวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท

“รายได้ทุกลอตจะกลับคืนสู่ กยท. แต่อาจจะไม่ใช่ตัวเลขที่มากมาย เราบวกเส้นละ 100 บาท ยกตัวอย่าง เช่น ยาง 20,000 เส้นแรก มีกำไรอยู่ที่ 2 ล้าน กลับคืนสู่ กยท. แต่จะต้องนำไปหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ก็จะคืนสู่ กยท.ทุกลอต”

ทิศทางตลาดยางหลังจากนี้

โอกาสตลาดปัจจุบัน สำหรับยางล้อเติบโตขึ้น มีการขยายตัวของภาคการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้ยางล้อ ส่งผลให้มีจำนวนผู้ผลิตยางล้อมากขึ้นในไทย ช่วยส่งเสริมรายได้เพิ่มให้กับอุตสาหกรรมยางล้อในไทย รัฐบาลไทยจึงได้ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมยางล้อ

โดยการให้ส่วนลดทางภาษีและเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่มากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพในการผลิตยางล้อ

การจัดงาน “TyreXpo Asia 2024” นี้ จะเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยเมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการออกเอกสารสิทธิสำหรับต้นไม้ที่เป็นพืชเศรษฐกิจ เช่น ต้นยางพารา เพื่อรับรองการมีอยู่ของต้นยางพาราในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นการขยายโอกาสแก่เกษตรกรให้เข้าถึงพื้นที่ทำกิน สามารถแปลงทรัพย์สินให้เป็นทุนเพื่อใช้ประกอบอาชีพการทำสวนยาง ผลักดันให้ไทยเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบยางระดับโลก เพื่อสร้างความสมดุลของห่วงโซ่อุปทานทางอุตสาหกรรมยางไทยให้เติบโตต่อไปในอนาคต

สอดคล้องกับมุมมอง นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า การจัดงาน TyreXpo Asia 2024 จะกลายเป็นเวทีความร่วมมือและเป็นโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางไทย ด้วยนวัตกรรม และความก้าวหน้าในเทคโนโลยียางรถยนต์

ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสำหรับการจัดงานมหกรรมล้อยางระดับนานาชาติในครั้งนี้ จะเป็นการปูทางที่สำคัญสู่การยกระดับอุตสาหกรรมยางไทย ให้สามารถผลิตสินค้าที่ขานรับกับความต้องการของตลาดที่มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ห่วงโซ่อุปทานยางของไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เติบโตขึ้น และสร้างความได้เปรียบทางการค้าในฐานะผู้นำแนวหน้าในอุตสาหกรรมยางโลกต่อไป

ขณะที่การเปิดตัว แบรนด์ยางล้อ Greenergy Tyre ซึ่งเป็นของไทย โดยใช้น้ำยางพาราของเกษตรกรไทย ซึ่งเป็นโครงการที่ กยท.ร่วมกับผู้ประกอบการไทยผลิต และเปิดตัวครั้งแรกวันนี้ ซึ่งจะผลิตออกมา 20,000 เส้น และทั้งปี 50,000 เส้น โดยจะขายให้กับเกษตรกรและหน่วยงานราชการ สำหรับรถบรรทุก อนาคตจะขยายไปสู่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลต่อไป ซึ่งจะทำให้ราคายางของไทยดีขึ้น มีเสถียรภาพ รวมไปถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมยางล้อในประเทศไทย เพราะต่อปีการผลิตยางล้อเพื่อส่งออกได้ปีละ 10 ล้านเส้น

กยท.พร้อมจะสนับสนุนอุตสาหกรรมยางของไทยให้เดินหน้าอย่างมีศักยภาพ ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตยางในไทยที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในตลาดโลก มีการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ โดยคำนึงถึงมิติความยั่งยืน สอดรับกับกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR

อีกทั้งการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นการมองหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการรักษาความเป็นผู้นำ และตอบสนองความต้องการยางที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องสิ่งแวดล้อมในอนาคตอีกด้วย