
หอการค้าหวั่นส่งออกอาหารสะเทือน 1.7 แสนล้านบาท หากทรัมป์ขึ้นภาษี เม.ย.-พร้อมเปิดโผ 38 สินค้าเสี่ยง-ตั้งเป้าส่งออกปีนี้ 1.75 ล้านล้านบาท โต 6.8%
ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ถนนราชบพิตร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสถาบันอาหาร ได้ร่วมกันเปิดแถลงข่าวถึงสถานการณ์ธุรกิจเกษตรและอาหารในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผอ.สถาบันอาหาร กล่าวว่า การส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2567 มีมูลค่า 1,638,445 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.3% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากความต้องการเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัว
ส่วนปี 2568 คาดว่าการส่งออกสินค้าอาหารจะมีมูลค่า 1,750,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.8% เนื่องจากปริมาณวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ทั้งมันสำปะหลัง อ้อย สับปะรด และมะพร้าว ขณะที่ค่าเงินบาทปีนี้อาจเคลื่อนไหว 33-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งเอื้อต่อการส่งออก โดยสินค้าส่งออกด่าวเด่นปีนี้คืออาหารสัตว์เลี้ยง ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารพร้อมรับประทาน และผลิตภัณฑ์มะพร้าว
อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยปีนี้ยังคงมีความเสี่ยงสูง จากนโยบายจัดเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐที่จะนำมาใช้กับประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ซึ่งรวมทั้งไทย ซึ่งอาจจะทำให้การส่งออกปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าคาดการณ์
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าไทยกล่าวว่า การส่งออกเกษตรและอาหารปีนี้มีความท้าทายมากเพราะสินค้าอาหารไทยมีความเสี่ยงที่อาจถูกสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าในเดือน เม.ย.นี้ ซึ่งก็ต้องจับตาดูว่าจะขึ้นในอัตราเท่าไหร่ และสินค้าใดบ้าง รวมทั้งสหรัฐอาจใช้มาตรการกดดันให้ไทยเปิดตลาดสินค้าเกษตรอาหารเพิ่มเติม
“ไทยมีความเสี่ยงอาจถูกขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอาหาร เพราะปีที่แล้วไทยมียอดเกินดุลการค้าสินค้าอาหารกับสหรัฐ 128,230 ล้านบาท ราว 10% ของยอดเกินดุลรวมของไทย รองจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ โดยปีก่อนไทยมีการส่งออกไปสหรัฐ 172,380 ล้านบาท แต่นำเข้าเพียง 44,150 ล้านบาท“
นายพจน์กล่าวถึงกลุ่มสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีมีจำนวน 38 รายการ ซึ่งมีมูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐ 172,380 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตามระดับความรุนแรงของผลกระทบ กลุ่มที่ 1.กระทบมากที่สุดจำนวน 18 รายการคือ กุ้งแช่แข็ง ปลาหมึกแช่แข็ง ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ปลาทูน่ากระป๋อง กุ้งปรุงแต่ง ข้าวพร้อมทาน ขนมปังกรอบ บะหมี่ พาสต้า น้ำมะพร้าว น้ำสับปะรด ผัก ผลไม้กระป๋อง กะทิสำเร็จรูป ซอส เครื่องปรุง และอาหารสัตว์เลี้ยง
2.กระทบปานกลางจำนวน 10 รายการคือ มะพร้าว ทุเรียน มะขาม แป้งมัน แป้งข้าว กลูโคส น้ำเชื่อมกลูโคส น้ำตาลมะพร้าว เครื่องดื่มที่มีน้ำมะพร้าวหรือน้ำผลไม้ผสม และเครื่องดื่มชูกำลัง
และ 3.กระทบน้อยจำนวน 10 รายการคือ แมลง-จิ้งหรีด น้ำผึ้ง ถั่วเขียว กระเทียม ขิง พริกไทย เครื่องเทศอื่น ๆ น้ำมันรำข้าว น้ำมะพร้าว และขนมที่ทำจากช็อกโกแลต
นายพจน์กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชาชนที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรและอาหารมากถึง 30 ล้านคน ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะต้องเร่งเจรจาต่อรองกับสหรัฐ โดยเฉพาะการเปิดตลาดสินค้าบางรายการให้กับสหรัฐเพิ่มเติม แต่จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรในประเทศ
โดยกลุ่มสินค้าที่สหรัฐอาจต้องการให้ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้น เช่น ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ปลาทะเล นมผง วัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งในกลุ่มนี้สามารถทำได้จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรของไทย เนื่องจากเป็นเป็นสินค้าจำเป็นต่อบริโภคและใช้ในการแปรรูปของไทย
แต่กลุ่มสินค้าที่น่าเป็นห่วงที่สหรัฐพยายามกดดันให้ทุกประเทศเปิดตลาดมากขึ้น คือกลุ่มผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ซึ่งจะกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ โดยที่ผ่านมาสหรัฐได้พยายามเปิดตลาดเนื้อสัตว์ในหลายประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในอาเซียน รวมถึงเอเชียตะวันออก
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยยังคงมีปัญหาภายในรุมเร้า ทำให้สามารถมีกำลังการผลิตได้เพียง 25% เท่านั้น เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบและแรงงานอย่างหนัก
ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งเปิดนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาแปรรูปเพื่อการส่งออกโดยเร็ว อาทิ ข้าวโพด ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอาหารสัตว์, สัตว์น้ำ เพื่อแปรรูปส่งออก รวมทั้งต้องเร่งลดต้นทุนให้กับภาคการผลิต เช่น ลดค่าน้ำ ค่าไฟ และนำ AI มาใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตให้กับสินค้าเกษตรไทย