
วิศิษฐ์ เผยมาตรการของบีโอไอ ส่งเสริมเอสเอ็มอี เห็นดีด้วยจากปัจจัยเสี่ยงในปัจจุบัน พร้อมย้ำ ต้องการให้มีมาตรการเพิ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับมาตรการ ทรัมป์ 2.0 เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้มีมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เช่น การเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้ SMEs ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพถือเป็นมาตรการที่เหมาะสมและจำเป็นในยุคที่เศรษฐกิจไทยต้องเร่งปรับตัวเข้าสู่ระบบอัตโนมัติและเศรษฐกิจสีเขียว หากมีมาตรการสนับสนุนด้านเทคนิคควบคู่กัน จะทำให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในระดับธุรกิจรายย่อยจำนวนมาก เป็นเรื่องระยะกลางและยาวที่เป็นเส้นทางต้องดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้การออกมาตรการส่งสริมการลงทุนนั้น จำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงการการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง เพราะบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกีดกัน การตรวจสอบที่มา หรือ Rules of Origin อาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอีกครั้งตามสถานการณ์
ขณะที่ แนวทางส่งเสริมให้ SMEs ของไทยมีการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพผ่านมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี ในวงเงิน 100% ของเงินลงทุน ถือเป็นมาตรการที่เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งกำลังเผชิญต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นและการแข่งขันจากต่างประเทศ การสนับสนุนให้ SMEs เปลี่ยนเครื่องจักร ใช้ระบบอัตโนมัติ ประหยัดพลังงาน และยกระดับมาตรฐานสากล จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดต้นทุนระยะยาว และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล
นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเร่งลงทุน เพิ่มทักษะแรงงาน และลดภาระภาครัฐในการอุดหนุนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ควรมีมาตรการสนับสนุนด้านเทคนิคควบคู่ เช่น ศูนย์ให้คำปรึกษาและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การช่วยให้เข้าถึงสินเชื่อ ซึ่งเป็นคอขวดของการส่งเสริมปัจจุบัน การงดส่งเสริมกิจการที่อาจก่อให้เกิดปัญหา Oversupply หรือมีความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศคู่ค้า เช่น สหรัฐ ถือเป็นการปรับนโยบายเชิงรุกที่เหมาะสมกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน ซึ่งเน้นความมั่นคงทางการค้าและลดความเสี่ยงในการตอบโต้ทางภาษี
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ถูกจับตามอง เช่น เซลล์แสงอาทิตย์ แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด และเหล็กขั้นปลาย การชะลอหรือหยุดการส่งเสริมช่วยลดความเสี่ยงเชิงภาพลักษณ์และภาระต่อระบบโลจิสติกส์ในประเทศ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ทรัพยากรการส่งเสริมสามารถถูกจัดสรรไปยังอุตสาหกรรมอนาคตหรือกิจการที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับทิศทางอุตสาหกรรมยั่งยืน (Green Economy) และลดแรงกดดันจากมาตรการ CBAM และการสอบสวนแหล่งกำเนิดสินค้า
การกำหนดให้กิจการที่เสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐ ต้องมี “กระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ” เช่น การแปรสภาพวัตถุดิบให้เกิดการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรอย่างน้อย 4 หลัก ถือเป็นมาตรการเชิงเทคนิคที่สำคัญในการป้องกันข้อกล่าวหาด้านแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) ซึ่งขณะนี้เป็นประเด็นที่หลายประเทศกำลังจับตา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และโลหะ การวางเงื่อนไขเช่นนี้ช่วยให้สินค้าไทยมีความชัดเจนด้านที่มา สร้างความน่าเชื่อถือในตลาดโลก และลดโอกาสถูกตอบโต้ทางการค้า
ขณะเดียวกันยังเป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตในประเทศ ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจริงในกระบวนการที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ใช่เพียงการนำเข้า-ประกอบ-ส่งออก หรือมีความสุ่มเสี่ยงถูกสวมสิทธิ ถ้าทำได้ดีจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอุตสาหกรรมไทยด้วย การกำหนดให้กิจการที่ได้รับส่งเสริมและมีการจ้างงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ต้องมีสัดส่วนการจ้างแรงงานไทยไม่น้อยกว่า 70% พร้อมทั้งกำหนดรายได้ขั้นต่ำของแรงงานต่างชาติ เป็นแนวทางที่สมดุลระหว่างการดึงดูดบุคลากรต่างชาติคุณภาพ และการปกป้องตลาดแรงงานไทยจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ควรทำควบคู่กับการพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้ทัดเทียม