กระทรวงพาณิชย์เผยติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจตุรกีอย่างใกล้ชิด ด้านผลกระทบไทยระยะสั้นมีผลต่อตลาดเงิน ตลาดทุน ส่งออกไทยไปตุรกีลดลง แต่ไม่กระทบเป้าหมายภาพรวมส่งออก
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรณีผลกระทบของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และตุรกี เริ่มโดยความสัมพันธ์ทางการเมืองของสองประเทศที่ผ่านมาไม่ค่อยราบรื่นนัก เมื่อสหรัฐฯ มีการประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากตุรกี ร้อยละ 50 และ 20 ตามลำดับ ยิ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นค่าเงินและเศรษฐกิจตุรกี ทำให้ค่าเงินตุรกีลดลงร้อยละ 45.0 เมื่อเทียบกับต้นปี และส่งผลให้ภาระการชำระหนี้ของตุรกีจะเพิ่มขึ้น
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- “ทอง” รับข่าวร้ายดันราคาขาขึ้น บาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
ทั้งนี้ โดยหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชน คิดเป็นร้อยละ 70 ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด หรือมูลค่า 3.25 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. (ร้อยละ 52.6 ของ GDP) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการกู้ยืมจากธนาคารของยุโรป โดยเป็นธนาคารสเปนและฝรั่งเศส ประมาณ 8.2 และ 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ตามลำดับ และเป็นหนี้ต่างประเทศระยะสั้นภาคเอกชน (ครบกำหนดชำระหนี้น้อยกว่า 1 ปี) 9.8 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ทำให้ความกังวลที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ตุรกียังมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและการคลัง (twin deficit) ที่ร้อยละ 5.5 และ 3.1 ตามลำดับ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงานอยู่ในระดับที่สูงถึงร้อยละ 11.1 และ 11.2 ในปี 2560 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าในปี 2561 GDP ตุรกีจะขยายตัวร้อยละ 4.4 ชะลอลงจากร้อยละ 7.0 ในปีก่อนหน้า
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวอีกว่า ด้านผลกระทบต่อไทยในระยะสั้นสถานการณ์จะเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดเงินและตลาดทุนไทย ทำให้ค่าเงินอาจจะอ่อนค่าและตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับลดลงชั่วคราว สำหรับการส่งออกจากไทยไปตุรกีมีความเสี่ยงที่จะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจตุรกีมีแนวโน้มถดถอย และการอ่อนค่าเงินอย่างรุนแรงทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น และส่งผลต่อเนื่องทำให้ความต้องการนำเข้าลดลง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทยตุรกีจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการส่งออกไทยทั้งปี 2561 ที่ร้อยละ 8.0 นอกจากนี้ ด้านการท่องเที่ยวอาจส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากตุรกีลดลง แต่เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวตุรกีในไทยค่อนข้างน้อย จึงไม่น่าจะกระทบต่อภาพรวมการท่องเที่ยวของไทย ส่วนกรณีที่ตุรกีมีความเป็นไปได้ที่จะใช้นโยบายควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Capital Control) ไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อไทย เนื่องจากไทยยังมีการลงทุนในตุรกีไม่มากนัก
ทั้งนี้ ประเทศตุรกีเป็นตลาดส่งออกของไทยอันดับที่ 33 มีมูลค่าการส่งออก ครึ่งปีแรก (มค.- มิย.) อยู่ที่ 644.3 ล้านดอลลาร์ สรอ. (คิดเป็นร้อยละ 0.51 ของการส่งออกไทยทั้งหมด) และขยายตัวร้อยละ 4.13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ประกอบด้วย รถยนต์และส่วนประกอบ (มูลค่าการส่งออก 113.63 หรือร้อยละ 17.6 ของการส่งออกทั้งหมดไปตุรกี) เครื่องปรับอากาศ เส้นใยประดิษฐ์ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก และตู้เย็น เป็นต้น