พรุ่งนี้ สทนช.ลุย MOU แก้น้ำแล้ง ระยอง “เฉลิมชัย” ตรวจพื้นที่ให้ความมั่นใจสำรองพอ

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก รวมทั้งการบริหารจัดการน้ำโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ณ สำนักงานชลประทานที่ 9 จังหวัดชลบุรี ว่า การบริหารจัดการน้ำในเขตภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดนครนายก ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง ตราด และสระแก้ว ปัจจุบัน มีน้ำใช้การได้ 945 ล้านลูกบาศก์เมตร​ (ลบ.ม.)​ หรือคิดเป็น 40% ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทานได้มีแผนการบริหารจัดการน้ำในเรื่องของการอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม รักษาระบบนิเวศน์ ด้านการเกษตร และอื่น ๆ รวม 610 ล้าน ลบ.ม.

ทั้งนี้ ได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการช่วยกันแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในระยะเร่งด่วน อาทิ ได้รับความร่วมมือจาก บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ และการประปาส่วนภูมิภาคในการสนับสนุนน้ำเข้ามาเสริมในระบบปริมาณกว่า 20 ล้าน ลบ.ม. อีกทั้งสถาบันน้ำและพลังงานเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยังได้ร่วมประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากการนิคมอุตสาหกรรมลดการใช้น้ำลงกว่า 10%

สำหรับ ในส่วนของกรมชลประทานได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้ใช้น้ำ โดยขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนใช้น้ำอย่างประหยัดและเป็นไปตามแผนการจัดสรรน้ำที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย และให้มีน้ำเพียงพอตลอดฤดูแล้งนี้ต่อเนื่องไปจนถึงต้นฤดูฝนปีหน้า

ขณะที่ โครงการ อีอีซี จังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ได้มีการคาดการณ์ว่าในปี 2579 จะพัฒนาแหล่งน้ำได้รวม 754 โครงการ สามารถเพิ่มปริมาณการเก็บน้ำได้อีก 1,621 ล้าน ลบ.ม. และเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้อีก 1,507,813 ไร่ รวมในอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีพื้นที่ชลประทานในภาคตะวันออกเพิ่มเป็น 3.7 ล้านไร่ ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาค และบริษัท อีสท์ วอเตอร์ ได้ประเมินว่าในปี 2569 จะมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นจากเดิม 350 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 750 ล้าน ลบ.ม.

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้สำรองน้ำไว้แล้วจำนวน 781 ล้าน ลบ.ม. และในอีก 20 ปีข้างหน้า หรือประมาณ ปี 2579 คาดว่าความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมและการประปา จะมีการใช้น้ำรวม 1,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะสามารถสร้างความมั่นใจได้ว่าทั้ง 8 จังหวัด จะมีน้ำใช้เพียงพอและไม่เกิดการแย่งน้ำกันระหว่างพื้นที่อุตสาหกรรมและพื้นที่การเกษตรอย่างแน่นอน

“การลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อมาติดตามการบริหารจัดการน้ำของภาคตะวันออก ยอมรับว่าน้ำต้นทุนในปีนี้มีน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่จากการรับฟังการรายงานจะสามารถบริหารจัดการน้ำได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และหลังจากนี้จะมีน้ำต้นทุนมารองรับกรณีฝนทิ้งช่วงด้วย จึงขอยืนยันว่าจะไม่ขาดแคลนน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ำในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ต้องมีแผนการดำเนินการที่พร้อมปฏิบัติ อีกทั้งทุกภาคส่วนต้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม ภาคประชาชน และเกษตรกร ต้องมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องในการใช้น้ำอย่างมีคุณค่า ก็จะทำให้ผ่านพ้นวิกฤตภัยแล้งไปได้” นายเฉลิมชัย กล่าว


อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันพรุ่งนี้ (4ก.พ.63) ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. จะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก และร่วมพิธีลงนาม MOU การดำเนินการแบ่งปันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแกด จ.จันทบุรี ให้แก่อ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง ณ จังหวัดจันทบุรี เนื่องจากน้ำต้นทุนเหลือน้อยรวมถึงร่วมประชุมบริหารจัดการน้ำร่วมกับคณะกรรมการสาขาลุ่มน้ำวังโตนด