รัฐบี้ค่ากลั่นตรึงราคาน้ำมัน 6 โรงกลั่นคายกำไร 5,000 ล้านบาท

โรงกลั่น
แฟ้มภาพ

รัฐบาลหัวหมุน ถก 3 แนวทางคุมค่าการกลั่นยังไม่สำเร็จ ชี้ติดปัญหาข้อกฎหมาย-ค้าเสรี ขณะที่น้ำมันดีเซลทะลุ 35 บาท/ลิตร ด้านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็วิกฤตพอกัน ยังไร้ทางออกกู้เงินแบงก์ ขอ ครม.จัดสรรงบประมาณเป็นรายปี บล.กสิกรจับตาวงใน 6 โรงกลั่นพร้อมให้ความร่วมมือ ลงขันลดกำไรช่วยรัฐ 5,000 ล้านบาท

หลังจากที่สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย “จุดพลุ” ขอให้รัฐบาลทบทวน “กำไรจากค่าการกลั่น (GRM-gross refining margin) ซึ่งเป็นอัตราการทำกำไรขั้นต้นของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่สูงมาก หรือเฉลี่ย 5.74 บาท/ลิตร (ระหว่างวันที่ 1-14 มิถุนายน 2565) ท่ามกลางราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันดีเซลลิตรละ 34.94 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91-95 ลิตรละ 44.88-45.15 บาท และเบนซิน 95 ลิตรละ 52.56 บาท

ประกอบกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นกลไกสำคัญในการตรึงราคาน้ำมันภายในประเทศก็กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตขาดสภาพคล่องจากผลการอุดหนุนราคาน้ำมันต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2564 จนฐานะกองทุนน้ำมันฯสุทธิติดลบใกล้จะทะลุ -100,000 ล้านบาท ในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้แล้ว

ถกค่าการกลั่นในภาวะปกติ

จากการสำรวจของ “ประชาชาติธุรกิจ” พบค่าการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันในประเทศจำนวน 6 แห่ง มีการรายงาน “ค่าการกลั่น” ในช่วงไตรมาส 1/2565 อยู่ระหว่าง 6-22 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งจัดเป็นอัตราทำกำไรขั้นต้นของโรงกลั่นน้ำมันที่สูงมาก สอดคล้องกับการคำนวณค่าการกลั่นโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เฉลี่ย 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2565) อยู่ที่ 3.27 บาท/ลิตร

โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาพบว่า ค่าการกลั่นอยู่ที่ 5.20 บาท/ลิตร (คำนวณจากส่วนต่างของราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักด้วยสัดส่วนของปริมาณการผลิตของประเทศ กับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 3 แห่งสำคัญ ดูไบ-โอมาน-ทาปิส) ซึ่งสูงกว่าค่าการกลั่นในภาวะปกติก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เคยอยู่ระหว่าง 2-2.50 บาท/ลิตรเท่านั้น

ทั้งนี้ ค่าการกลั่น ตามคำนิยามของ สนพ.หมายถึง กำไรเบื้องต้นของโรงกลั่นน้ำมันก่อนหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยกำไรของโรงกลั่นจะยึดโยงกับต้นทุนราคาน้ำมันดิบและราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปที่กลั่นได้ ดังนั้น ยิ่งค่าการกลั่น (GRM) สูงขึ้นเท่าไร หมายความว่า การทำกำไรเบื้องต้นจากการกลั่นน้ำมันของโรงกลั่นก็จะสูงขึ้นเท่านั้น จนกลายเป็นกระแสเรียกร้องที่ว่า รัฐบาลควรจะเข้ามาบริหารจัดการค่าการกลั่นที่สูงกว่าอัตราปกติด้วยการนำ “ส่วนต่างกำไรที่สูงกว่าปกติ” เข้ามาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาน้ำมันสำเร็จรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้นทะลุกรอบที่วางเอาไว้ที่ 35 บาท/ลิตร หรือไม่

3 แนวทางคุมค่าการกลั่น

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ออกมา “ตอบรับ” ที่จะเข้าไปบริหารจัดการค่าการกลั่นที่สูงกว่าภาวะปกติ ด้วยความหวังที่ว่าจะนำ “ส่วนต่าง” ที่สูงกว่าปกตินั้นมาช่วย “อุดหนุน” ราคาน้ำมันภายในประเทศให้ลดต่ำลงนั้น ด้านหนึ่งจะเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่แพงขึ้นมาก แต่อีกด้านหนึ่งก็จะช่วย “ต่ออายุ” ให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ยังคงรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศออกไปอีกระยะหนึ่ง

โดยแนวทางที่มีการหารือในการเข้าบริหารจัดการค่าการกลั่นจะมี 3 แนวทาง คือ 1) การขอความร่วมมือให้โรงกลั่นน้ำมันลดกำไรจากค่าการกลั่นลง และนำกำไรนั้นส่งผ่านมาช่วยลดราคาน้ำมันสำเร็จรูป 2) การเรียกเก็บภาษี (tax) ค่าการกลั่นในลักษณะเดียวกันกับภาษีลาภลอย หรือ windfall tax และ 3) การใช้อำนาจของ พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา 14 ให้โรงกลั่นน้ำมันนำส่งค่าการกลั่นส่วนเกินจากอัตราปกติ เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำมา “อุดหนุน” ราคาน้ำมันภายในประเทศให้ลดต่ำลง

“ปัญหาที่เกิดขึ้นในการเข้าไปบริหารจัดการค่าการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันก็คือ ไม่มีกฎหมายฉบับใดให้อำนาจโดยตรง เนื่องจากธุรกิจการกลั่นน้ำมันเป็นการค้าเสรีที่รัฐให้สัญญาไว้ตั้งแต่การเชิญชวนต่างชาติให้เข้ามาดำเนินการลงทุนตั้งโรงกลั่นน้ำมันภายในประเทศ ประกอบกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เองก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่าค่าการกลั่นที่คำนวณได้ยังไม่สะท้อนกำไรที่แท้จริงของโรงกลั่น เนื่องจากยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จึงไม่ใช่กำไรสุทธิที่แท้จริง” แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ตาม วิธีที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ การขอความร่วมมือโดยสมัครใจจากโรงกลั่นน้ำมันให้ส่งผ่านกำไรส่วนต่างของค่าการกลั่นที่สูงผิดปกติ มาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันภายในประเทศ โดยวิธีนี้ไม่ต้องมีการแก้กฎหมายเพื่อเรียกเก็บภาษี (tax) ซึ่งจะเสี่ยงต่อการผิดสัญญาการตั้งโรงกลั่นน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงกลั่นน้ำมันต่างชาติที่รัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซง ส่วนวิธีการใช้ พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เรียกเก็บเงินจากโรงกลั่นน้ำมันเข้ากองทุนนั้น แม้จะมีอำนาจดำเนินการได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร

“แนวทางขอความร่วมมือนั้น มีโรงกลั่นน้ำมันที่เป็นธุรกิจของคนไทยเปิดทางแล้วว่า ยินดีให้ความร่วมมือ แต่วิธีการนี้ก็ขึ้นกับความสมัครใจของโรงกลั่นน้ำมันต่างชาติด้วยที่ยังไม่มีคำตอบ นอกจากนี้แล้วยังมีข้อถกเถียงกันอีกด้วยว่า หากจะนำกำไรที่สูงกว่าอัตราปกติมาช่วยลดราคาน้ำมันสำเร็จรูปลงนั้น จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัดมาตรฐานที่ว่า อัตราค่าการกลั่นปกติควรอยู่ที่เท่าใด ในประเด็นนี้มีข้อเสนอว่า ให้ใช้ค่าการกลั่นมาตรฐานของโรงกลั่นน้ำมันที่สิงคโปร์ใช้ เป็นตัวเปรียบเทียบ” แหล่งข่าวกล่าว

ดึงค่ากลั่นช่วยกองทุนน้ำมันฯ

ด้านสถานการณ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีสถานะกองทุนสุทธิติดลบ -91,089 ล้านบาท ท่ามกลางการคาดคะเนว่า ภายในสิ้นเดือนนี้กองทุนน่าจะติดลบสุทธิทะลุ -100,000 ล้านบาทนั้น แบ่งเป็น การติดลบในบัญชีน้ำมัน -54,574 ล้านบาท กับบัญชีก๊าซหุงต้ม 36,515 ล้านบาท โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ “อุดหนุน” ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 9.96 บาท (ราคาดีเซล ณ หน้าโรงกลั่นอยู่ที่ 39.7317 บาท)

แต่กองทุนน้ำมันฯยังมีเงินสดเหลืออยู่ประมาณ 11,000 ล้านบาท (ธนาคาร 8,200 ล้านบาท-กระทรวงการคลัง 2,800 ล้านบาท) และยังมีเงินไหลเข้ากองทุนจากผู้ใช้น้ำมันเบนซิน-ดีเซลเกรดพรีเมี่ยมอีกประมาณ 2,000 ล้านบาท/วัน แต่กองทุนก็มีภาระรายจ่ายอยู่ที่ 5,000-7,000 ล้านบาทต่อเดือนอยู่ดี

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า กองทุนน้ำมันฯตกอยู่ในภาวะวิกฤตด้านสภาพคล่อง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องหาแหล่งเงินเข้ามาช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงินจำนวน 20,000 ล้านบาท หรือการขอใช้งบฯกลางของรัฐบาลเข้ามาอุดหนุนกองทุน แต่ทั้งหมดนี้ “ยังไม่มีความคืบหน้าและกำลังอยู่ในระหว่างการหารือกันต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนาน” ดังนั้นหากรัฐบาลสามารถนำ “ค่าการกลั่น” ที่สูงกว่าอัตราปกติมาช่วยอุดหนุนราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศให้ลดลงได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ก็จะมีความหมายต่อการดำรงสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงออกไปได้อีกหน่อย

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การลดค่าการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันลง ทางกระทรวงพลังงานต้องหารือกับโรงกลั่นน้ำมัน แต่การจะ “ดึง” ค่าการกลั่นมาช่วยลดภาระของกองทุนน้ำมันฯนั้นจะต้องออกเป็นกฎหมาย ซึ่งจะต้องเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา “น่าจะใช้เวลานาน”

ดังนั้นการแก้ปัญหาระยะสั้นอาจจะต้องเป็นการ “ขอความร่วมมือ” จากโรงกลั่นน้ำมัน แต่เงินที่ได้รับมาก็ยังไม่เพียงพอที่จะนำมาตรึงราคาน้ำมันดีเซลได้ในระยะยาว กองทุนน้ำมันฯยังมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพา “เงินกู้” จากสถาบันการเงินอยู่ดี โดยความคืบหน้าล่าสุดทางธนาคารที่พร้อมจะปล่อยกู้กำลังรอให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เสนอเรื่องมายัง ครม. เพื่อให้ความเห็นชอบจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีให้กับกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า กองทุนน้ำมันฯมีรายรับจากงบประมาณที่แน่นอน

“ตอนนี้ยังไม่ทราบว่ารัฐบาลจะจัดสรรเงินงบประมาณให้กองทุนปีละเท่าไหร่ เป็นเวลากี่ปี ที่สำคัญก็คือ ถ้าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังไม่ลดลง นั่นหมายความว่า การตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไปจะกลายเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯไม่สิ้นสุด ผมมองว่า สุดท้ายราคาน้ำมันดีเซลในประเทศจะต้องปรับให้เข้าใกล้กับราคาตลาดมากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นฐานะกองทุนน้ำมันฯก็จะรับไม่ไหว” แหล่งข่าวกล่าว

จับตาโรงกลั่นลงขัน 5,000 ล้าน

นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตามที่พรรคกล้ามีข้อเสนอให้มีการกำหนดเพดานการกลั่น กับควรมีการเก็บภาษีลาภลอย (windfall tax) นั้น ถ้าเป็นเรื่องของการกำหนดเพดานการกลั่นและมีเพดานราคาสูงสุด-ต่ำสุด จุดคุ้มทุนของโรงกลั่นน้ำมันจะอยู่ประมาณ 4-5 เหรียญ เพราะหากเพดานอยู่ที่ 6 เหรียญ โรงกลั่นน้ำมันก็ยังมีกำไร แต่รัฐบาลคงไม่ยอมให้โรงกลั่นน้ำมันมีกำไรถึง 6 เหรียญอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้นในความเป็นจริง ย้อนกลับไปในปีก่อนที่โควิด-19 จะระบาด (2017-2018) กำไรของโรงกลั่นน้ำมันจะอยู่ประมาณ 4-5 เหรียญ จนถึงช่วงโควิดระบาดลดลงมาเหลือ 1-2 เหรียญ นั่นหมายถึง ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันขาดทุน แต่พอมาถึงช่วงนี้โรงกลั่นน้ำมันเพิ่งจะมามีกำไรจากค่าการกลั่นที่พุ่งขึ้นสูงมาก “หากรัฐบาลซีลลิ่งก็ต้องมีฟลอร์ ซึ่งกรณีแบบนี้ผมมองว่า ไม่ใช่เป็นกลไกตลาดที่ดี เพราะถ้าไปกำหนดแบบนี้ ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันจะได้กำไรชัวร์ ๆ แน่ ๆ” นายจักรพงศ์กล่าว

ส่วนกรณีข้อเสนอให้เก็บภาษีลาภลอยนั้น ถามว่าถ้ารัฐบาลจะทำก็ทำได้ โดยต้องออกเป็นกฎหมาย แต่เรื่องสำคัญกว่าก็คือ ในอนาคตเลิกคาดหวังได้ว่า ประเทศไทยจะมีการลงทุนเพื่อก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันใหม่ เพราะนโยบายรัฐบาลไม่นิ่ง ช่วงที่โรงกลั่นน้ำมันมีกำไรก็ไปเรียกเก็บภาษี แต่ช่วงโรงกลั่นน้ำมันแย่รัฐบาลเข้าไปช่วยอะไรบ้าง ดังนั้นโรงกลั่นน้ำมันคงไม่ยอมให้มีการไปเก็บภาษีฟรี ๆ เมื่อมีการเก็บภาษีส่วนที่เกิน พอถึงช่วงผลประกอบการโรงกลั่นน้ำมันแย่ก็คงต้องคืนกลับให้ด้วยเหมือนกับเครดิตภาษี (tax credit)

อย่างไรก็ตาม หากจะใช้การขอความร่วมมือจากโรงกลั่นน้ำมันให้ช่วยแบ่งกำไรมาช่วยในส่วนของราคาน้ำมันดีเซล ในอดีตโรงกลั่นน้ำมันเคยให้ความร่วมมือทั้งอุตสาหกรรมประมาณ 2,200 ล้านบาทจาก TOP-PTTGC-IRPC-BCP ถ้าเทียบกันแล้วค่าการกลั่นอยู่ประมาณ 10 เหรียญ ธุรกิจโรงกลั่นได้รับผลกระทบต่อกำไรประมาณ 3% แต่รอบนี้ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ประมาณ 10 เหรียญ/บาร์เรล ดังนั้นจึงต้องดูว่า รัฐบาลจะเรียกเก็บเงินจากโรงกลั่นน้ำมันเท่าไหร่

“เบื้องต้นจากการหารือกัน โรงกลั่นทั้ง 6 แห่งในปัจจุบันคือ TOP-PTTCG-IRPC-BCP-SPRC-ESSO เกือบทั้งหมดยินดีให้ความร่วมมือ โดยจะช่วยกันหมด โดยเม็ดเงินที่จะช่วยรัฐบาล คาดว่าจะอยู่ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ช่วยกันตามความสามารถของโรงกลั่นแต่ละแห่ง ถ้าเป็นไปตามนี้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันจะได้รับผลกระทบต่อกำไรประมาณ 3-5% เม็ดเงินช่วยเหลือถือว่าไม่เยอะมาก เพราะช่วงโควิด-19 โรงกลั่นน้ำมันก็สะบักสะบอม เพิ่งเริ่มมีกำไรกันจริงก็ไตรมาส 1/2565” นายจักรพงศ์กล่าว

ลดค่าการกลั่นยังไม่มีคำตอบ

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงมาตรการตรึงราคาน้ำมันและการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อออกมาตรการช่วยเหลือประชาชน ระยะที่ 2 และมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่จะครบกำหนดเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคมนี้ มีความจำเป็นที่ต้องหารือกับ 4 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาออกมาตรการภายใต้การคาดการณ์สงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนจะยืดเยื้อออกไป และจะส่งผลกระทบกับประเทศไทย

“มาตรการจะพิจารณาว่า อะไรจะดำเนินการต่อ อะไรจะเพิ่มเติมหรืออะไรไม่จำเป็นแล้ว และจะต้องให้ทันการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนนี้ (มิ.ย.) ให้ได้”

สำหรับเรื่องราคาน้ำมันดีเซลที่ขยับขึ้นไปถึงเพดานที่กำหนดไว้แล้ว 35 บาทต่อลิตรแล้วนั้น นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า จะพยายามไม่ให้ปรับอะไรจนกระทั่งมีมาตรการใหม่ออกมาชัดเจน ราคาดีเซลสูงขึ้นกว่า 35 บาทต่อลิตร ยังจะทำได้ในช่วงนี้หรือไม่ หรือควรที่จะทำหรือไม่ เนื่องจากภาคท่องเที่ยวอยู่ในช่วงโลว์ซีซั่น ในช่วงนี้อาจจะต้องประคับประคองต่อไปเพื่อให้ประเทศเดินไปได้และเติบโตไปได้

พร้อมกับกล่าวทิ้งท้ายว่า “การหารือกับ 4 หน่วยงานจะพิจารณาภาพรวมของมาตรการทั้งหมดและแหล่งเงิน ถ้าจะปลดล็อกให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกู้เงินได้แล้วต้องทำอะไร ต้องตัดสินใจแล้ว เพราะสถานการณ์ยืดเยื้อกว่าที่ประเมินสถานการณ์ไว้”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า “มีการคุยเรื่องค่าการกลั่นน้ำมัน มีการพูดมาหลายวันแล้วเรื่องแก้ปัญหาราคาพลังงาน น้ำมันควรจะถูกลง แต่ที่ต้องดูคือ ราคาพลังงานของเรากับประเทศเพื่อนบ้าน มีความแตกต่างกันหรือไม่ เรามีน้ำมันต้นทุน ซึ่งเป็นน้ำมันดิบของเรามากน้อยเพียงใด จากนั้นมาดูว่า จะหาต้นทุนพลังงานมาจากไหน ต้องขึ้นกับใคร ค่าต่าง ๆ มีกลไกหมด แล้วในการควบคุมราคาน้ำมันโลก ผมเองกำลังหาทางว่าทำอย่างไรถึงจะหาแหล่งพลังงานได้มากขึ้น หาบนบกได้ไหม ถ้ามีไม่พอจะหาทางทะเลอีกได้ไหม กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาทั้งหมด ก็ต้องเร่งดำเนินการ ไม่เช่นนั้นวันหน้าก็ต้องเป็นแบบนี้”

ส่วนเรื่องค่าการกลั่นก็ได้ชี้แจงและพูดคุยกันในห้องประชุม หลายคนก็ให้ตัดสินใจในเรื่องนี้ว่า ค่าการกลั่นอยู่ที่ 8 บาท ตนก็ถามว่า 8 บาทมาจากไหน ก็ยังไม่มีคำตอบว่า 8 บาทมาจากไหน เมื่อไปดูตัวเลขก็ยังไม่ถึง วันนี้ 8 บาท แต่ถ้าลดไป 5 บาท แสดงว่าน้ำมันจะลดลงไป 5 บาทเลยจริง ๆ ไหม แต่ไม่ใช่อย่างนั้น พันกันไปทุกอย่าง เพราะมีกฎหมายคุ้มครองผู้ประกอบการด้วย เพราะมีหลายอย่างที่เกี่ยวเนื่องกัน กระทรวงพลังงานจะชี้แจงอีกครั้ง


“ไม่ใช่เราลดภาษีสรรพสามิตไปแล้ว 3 บาท น้ำมันลงแล้ว 3 บาท และลดค่าการกลั่นไปอีก 5 บาท น้ำมันจะลดลง 8 บาท คิดอย่างนี้ตรรกะเดียวกันไม่ได้ ต้องไปฟังกระทรวงพลังงานอีกที ทุกคนต้องพยายามหามาตรการที่เหมาะสม เราคงต้องอยู่กับสถานการณ์อย่างนี้ไปอีกนานพอสมควร” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว