“เชฟรอน” พัฒนาครูวิทย์-คณิต อุดช่องโหว่การศึกษาเยาวชนไทย

จากผลการทดสอบโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA ที่วัดความเข้าใจของเยาวชนอายุ 15 ปี ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการอ่าน พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 55 จากทั้งหมด 70 ประเทศ

เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจะพบว่าคะแนนของนักเรียนในกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองใหญ่สูงกว่านักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาค่อนข้างมากตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา

เพราะการยกระดับมาตรฐานการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ของโรงเรียนในเมืองใหญ่และพื้นที่ห่างไกลให้เท่าเทียมกันเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการที่ประเทศไทยต้องการก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมตามยุทธศาสตร์หรือประเทศไทย 4.0

ผลเช่นนี้ ทำให้ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด มองเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาการศึกษา ในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หรือ สะเต็มศึกษา (STEM: Science, Technology, Engineering,Mathematics) จึงได้ร่วมกับพันธมิตรจากภาครัฐ และภาคประชาสังคมภายใต้โครงการ “Chevron Enjoy Science : สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต” ขึ้น

โครงการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาครูวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อเสริมศักยภาพและทักษะของครูให้มีความรู้ความเข้าใจ และนำกระบวนการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry-Based Learning) มาใช้ในชั้นเรียนของตน โดยเฉพาะครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา เพื่อให้เกิดเปลี่ยนแนวทางการสอนจากการท่องจำ ไปสู่การตั้งคำถามและหาคำตอบ ที่เป็นการวางรากฐานทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“อาทิตย์ กริชพิพรรธ”
ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า การดำเนินของโครงการ Chevron Enjoy Science มุ่งส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาในสาขาสะเต็มศึกษา ที่เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

หนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญคือการสนับสนุนสื่อการเรียนการสอนและอบรมครูผู้สอนโดยให้แนวทางและกลวิธีการจัดการเรียนการสอน ที่จะช่วยให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจในบทเรียนมากขึ้น รู้จักคิดวิเคราะห์ และมีทัศนคติที่ดีในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เพื่อนำมาสู่แรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นที่จะศึกษาต่อและประกอบอาชีพในสาขาสะเต็มต่อไปในอนาคต

“ตลอด2ปีของการดำเนินโครงการ มีครูผ่านการอบรมทั้งสิ้น 3,551 คน จาก 371 โรงเรียน ใน 10 จังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ และมีเด็กนักเรียนที่ได้รับประโยชน์ทั้งสิ้นกว่า 113,780 คน”

“นิดาวรรณ ช้างทอง”
ครูโรงเรียนบ้านสันกำแพง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ปัญหาหลักที่พบในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ คือ นักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียนอย่างถ่องแท้ เพราะเน้นท่องจำเป็นหลัก ซึ่งหลังจากที่ได้เข้าร่วมอบรมครูในโครงการ Chevron Enjoy Science จึงทดลองนำกระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้มาปรับใช้ในชั้นเรียน

“ในชั้นเรียนเราเริ่มด้วยการตั้งคำถามให้น่าสนใจเพื่อกระตุ้นความสงสัยของนักเรียนจากนั้นจึงแบ่งกลุ่มให้นักเรียนได้ทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ร่วมกัน พร้อมกับมอบหมายให้แต่ละคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบภายในกลุ่ม ทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนช่วยให้งานกลุ่มสำเร็จ ส่งผลให้นักเรียนมีความกล้าแสดงออกและตื่นตัวในชั้นเรียนมากขึ้น ซึ่งการได้เห็นประกายความอยากรู้อยากเห็นในแววตาของนักเรียนเหล่านั้น ทำให้เราในฐานะครูผู้สอนมีความสุขมาก”

เช่นเดียวกับ “สาธิต วรรณพบ” ครูโรงเรียนตะกั่วป่า เสนานุกูล จ.พังงา ที่เล่าให้ฟังถึงความประทับใจในการสอนแบบใหม่นี้ว่า การเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ จะไม่มีการบอกเด็กว่าความเห็นหรือคำตอบนั้นผิด แต่ครูจะช่วยตั้งคำถาม และให้นักเรียนค่อย ๆ หาคำตอบตามความเข้าใจของตนเองส่งผลให้เด็กได้คิดวิเคราะห์ และไม่กลัวที่จะแสดงความคิดเห็นต่อหน้าชั้นเรียน

อีกทั้งโครงการยังมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด โดยมีระบบครูพี่เลี้ยงทางวิชาการที่คอยให้คำแนะนำดั่งกัลยาณมิตร เพื่อให้เราสามารถนำวิธีการเรียนการสอนแบบสืบเสาะไปใช้ในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีกำลังใจและมั่นใจในการสอนของตนเองมากขึ้น

“จากความกระตือรือร้นและมั่นใจในการสอนของตัวเองนี้ส่งผลให้นักเรียนมีความสนใจและให้ความร่วมมือในชั้นเรียนมากขึ้นซึ่งเทคนิคการสอนแบบใหม่นี้ ได้เปิดโลกทัศน์ให้ทั้งครูและนักเรียนไปพร้อม ๆ กัน”

ในขณะที่ “ดร.บุญเลี้ยง จอดนอก” ครูวิทยาศาสตร์แห่งโรงเรียนบ้านหัวบึง จ.อุดรธานี กล่าวว่า ในโรงเรียนชายขอบที่นักเรียนส่วนมากเป็นเด็กด้อยโอกาส ซึ่งเมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา โอกาสที่เด็กได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยแทบไม่มี โดยเฉพาะการเรียนต่อในสาขาวิทยาศาสตร์ยิ่งเป็นเรื่องไกลตัว

ขณะเดียวกันโรงเรียนยังมีสื่อการเรียนการสอนไม่เพียงพอหลายๆ ครั้ง ครูจึงทำได้เพียงเน้นการบรรยาย และให้นักเรียนจินตนาการเอง ทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย ครูเองก็รู้สึกไม่ดีกับตัวเองที่ไม่สามารถสอนเด็กได้เท่าเทียมกับโรงเรียนใหญ่ ๆ ในตัวเมือง ซึ่งความรู้สึกเหมือนกับว่าเรากำลังสอนประวัติศาสตร์ของวิชาวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียนมากกว่า

“ภายหลังจากที่ผมนำการเรียนรู้แบบสืบเสาะมาใช้ในชั้นเรียนผมรู้สึกภูมิใจที่ทำให้นักเรียนเกิดความสนุกในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อีกทั้งยังสนใจจะเลือกเรียนในสายวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และอาชีวศึกษามากขึ้น ขณะที่หลายคนอยากประกอบอาชีพในสายวิทยาศาสตร์ ผมไม่ได้เน้นสอนให้เด็กไปแข่งกับใคร แค่พวกเขามีโอกาสมากขึ้น ผมก็ดีใจแล้ว”

“รางวัลแห่งความสำเร็จของพวกเขานั้นไม่ได้วัดที่ผลคะแนน แต่การช่วยให้เด็กได้พัฒนา และฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ และเห็นว่าการเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นเรื่องสนุก ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ซึ่งตรงนี้เองถือว่าเป็นรางวัลของความสำเร็จที่แท้จริง”

ตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาครูในโรงเรียนขยายโอกาสให้สามารถเข้าถึงสื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้นักเรียนเข้าใจในบทเรียนและเกิดทัศนคติที่ดีต่อวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จนนำมาสู่ความสนใจที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม และเลือกศึกษาต่อในสาขาสะเต็มศึกษา นับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวต่อไป