การศึกษาถือเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้ให้กับประเทศนิวซีแลนด์สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศ โดยภาพรวมมูลค่าอุตสาหกรรมการศึกษานานาชาติในนิวซีแลนด์สูงถึง 5.1 พันล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ ในช่วงปี 2016-2018 ซึ่งประเทศไทยมีส่วนร่วมสร้างมูลค่าดังกล่าวถึง 120 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์
แต่เมื่อโลกของเราก้าวสู่ยุคที่คนมีทางเลือกทางการศึกษามากขึ้น นิวซีแลนด์จึงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาด้านการศึกษาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญ ต้องสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก อันเป็นเหตุผลที่ทำให้นิวซีแลนด์ปรับภาพลักษณ์ใหม่ (rebranding) พร้อมกับปรับยุทธศาสตร์การศึกษานานาชาติครั้งใหญ่ในรอบ 6 ปี ภายใต้แนวคิด “I AM NEW : ฉันคือนิว”
“ลิซ่า ฟุตสเชค” ผู้จัดการทั่วไประหว่างประเทศ หน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ เวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ กล่าวว่า ภูมิทัศน์ด้านการศึกษาเปลี่ยนไป เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉะนั้น นิวซีแลนด์ต้องการทำให้แน่ใจว่าแบรนด์การศึกษานิวซีแลนด์สอดคล้องกับทิศทางและตอบสนองความท้าทายของโลก
ดังนั้น คอนเซ็ปต์ I AM NEW : ฉันคือนิว จึงหมายถึงการเป็นคนใหม่ของนักเรียน ที่มีแรงบันดาลใจ และเอกลักษณ์ใหม่ ๆ แบบพลเมืองโลก โดยรัฐบาลนิวซีแลนด์ทำการรีแบรนด์ครั้งนี้เพื่อสื่อสารต่อโลกว่า การศึกษาของนิวซีแลนด์สามารถมอบอะไรให้กับผู้เรียน ด้วยการมุ่งเน้นคุณค่าของทักษะเพื่อไปต่อยอดองค์ความรู้ โดยให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต ผ่าน 5 เสาหลักของ I AM NEW : ฉันคือนิว อันประกอบด้วย
หนึ่ง New skills (ทักษะใหม่ที่จำเป็นในอนาคต) พัฒนาความสามารถของนักเรียนทุกคนในการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างสร้างสรรค์ และสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้
สอง New understanding (ความเข้าใจใหม่) สอนวิธีให้นักเรียนนำความรู้ไปสร้างทักษะที่จำเป็นในอนาคตเพื่อใช้ทำงานได้ทั่วโลก
สาม New perspectives (มุมมองใหม่ที่ชัดเจน) สนับสนุนความหลากหลายความเอาใจใส่ และวิธีการใหม่ ๆ ให้เกิดการมองโลกในมุมมองใหม่
สี่ New outcomes (ผลลัพธ์จากการเรียนรู้ใหม่) เตรียมความพร้อมนักเรียนให้ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในอนาคตได้
ห้า New growth (การเติบโตรูปแบบใหม่) สร้างความท้าทาย และสนับสนุนให้นักเรียนได้ใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่
“ลิซ่า ฟุตสเชค” กล่าวด้วยว่า ก่อนที่เราจะกำหนดแบรนด์ใหม่ตัวนี้ออกมา เรามีการทดสอบกับนักเรียนต่างชาติในประเทศนิวซีแลนด์ และผู้ที่กำลังสนใจศึกษาต่อต่างประเทศจาก 5 ประเทศ ซึ่งเป็นตลาดหลักของเรา เพื่อให้แน่ใจถึงความเหมาะสม
“จากการทดสอบ เราพบว่านักเรียนที่นิวซีแลนด์จะมีอิสระในการคิดด้วยตนเอง รู้จักตั้งคำถาม พร้อมคิดหาไอเดียใหม่ให้กับการค้นพบของตนเอง ซึ่งแตกต่างจากการเรียนแบบท่องจำจากตำรา นักเรียนจะได้รับการสอนให้คิดวิเคราะห์ และสร้างสรรค์ มีการทำงานเป็นทีม แก้ไขปัญหาร่วมกัน จากการพูดคุย และคิดอย่างอิสระ ผสานกับเทคโนโลยี ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ สิ่งปลูกสร้าง สถาปัตยกรรม วิศวกรรม การสร้างภาพยนตร์ แอนิเมชั่น และการออกแบบที่มีครูร่วมกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมนั้น ๆมาให้คำปรึกษา และฝึกปฏิบัติจริง”
“แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ แกนหลักการศึกษาที่เกี่ยวกับการดูแลนักเรียนต่างชาติซึ่งนิวซีแลนด์ถือเป็นประเทศแรกที่พัฒนากลยุทธ์การดูแลความเป็นอยู่ของนักเรียนต่างชาติให้เป็นกลยุทธ์ประจำชาติ โดยเริ่มขึ้นเมื่อปี 2018 ซึ่งกลยุทธ์นี้โฟกัสอยู่ 4 เรื่องที่เกี่ยวข้องนักเรียนต่างชาติ คือ สภาพความเป็นอยู่ทางด้านเศรษฐกิจ, การศึกษา, สาธารณสุข และความสามัคคี”
“นิวซีแลนด์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศนวัตกรรมด้านการศึกษาแห่งหนึ่งของโลกโดยเฉพาะทางด้าน AI (artificial intelligence) ที่ถือเป็นเทรนด์สำคัญของโลก ผลตรงนี้จึงทำให้นิวซีแลนด์ทำการพัฒนาครูหุ่นยนต์ชื่อวิล เมื่อ
ปี 2015 ขึ้นมา เพื่อทดลองสอนนักเรียนระดับมัธยมปลายในเรื่องของพลังงานทดแทน และครูหุ่นยนต์นี้สอนนักเรียนไปแล้วกว่า 125,000 คน”
“จอห์น แลกซัน” ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง หน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ คาดการณ์ภาพรวมว่า อัตราการไปศึกษาต่อต่างประเทศของนักเรียนทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 40-60% ในปี 2025 ปัจจุบันมีนักเรียน 5 ล้านคน ที่เดินทางไปเรียนต่างประเทศ และในอีก 5 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเป็น 8 ล้านคน ในขณะที่จำนวนนักเรียนไทยที่ไปเรียนที่นิวซีแลนด์เพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ จากปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอัตราของนักเรียนต่างชาติที่เติบโตจากปีที่แล้ว มากเป็นอันดับ 2
“โดยมี 3 เหตุผลหลัก ๆ ที่นักเรียนไทยเลือกศึกษาที่นิวซีแลนด์ คือ ชอบการศึกษารูปแบบใหม่ที่ต่างจากประเทศไทย เพราะที่นี่ให้นักเรียนเลือกวิชาเรียนได้ตามความชอบ โดยเฉพาะระดับมัธยมศึกษามีให้เลือกมากกว่า 40 วิชา ส่วนเรื่องที่สอง นิวซีแลนด์มีการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพในอนาคต เมื่อจบแล้วทำงานได้ทันที เพราะมีที่ฝึกงานให้ ทั้งนี้ รัฐบาลนิวซีแลนด์ยังให้สิทธินักเรียนต่างชาติอยู่ต่อได้อีก 3 ปี หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือโท เพื่อทำงาน และสุดท้าย นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ปลอดภัย และได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความสงบสุขที่สุดในโลก ติดต่อกันเป็นเวลา 9 ปีแล้ว”
“ปัจจุบันนิวซีแลนด์มีนักเรียนนักศึกษาต่างชาติอยู่มากกว่า 125,000 คน ในจำนวนนี้เป็นนักเรียนจากประเทศจีน และอินเดีย มากถึง 50% ซึ่งตลาดเอเชีย-แปซิฟิก ตลาดสำคัญของการศึกษานิวซีแลนด์ ได้แก่ จีน 40,323 คน อินเดีย 20,397 คน ญี่ปุ่น 10,272 คน เกาหลี 7,512 คน และไทย 3,377 คน”
ทั้งนี้ นิวซีแลนด์มีมหาวิทยาลัยคุณภาพมากมาย โดยมหาวิทยาลัยโอ๊กแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 50 อันดับมหาวิทยาลัยที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก และมหาวิทยาลัยทันสมัยที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก (2018) นอกจากนี้ นิวซีแลนด์ยังติดอันดับ 22 (จาก 127 ประเทศ) ด้านนวัตกรรมระดับโลก ดัชนีนวัตกรรมระดับโลก (2018) และติดอันดับท็อป 10 จาก 139 ประเทศสำหรับความคิดสร้างสรรค์ ดัชนีความคิดสร้างสรรค์ทั่วโลก (2015)
ที่สำคัญ ระบบการศึกษาของนิวซีแลนด์ยังถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 7 ของโลก จาก The Annual Universitas 21 League Table และจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกทั้ง 8 แห่ง โดยมหาวิทยาลัยในนิวซีแลนด์ติดอันดับท็อป 3 ของโลกอีกด้วย
นับเป็นคอนเซ็ปต์การศึกษาอันใหม่ที่เป็นกุญแจสำคัญไขไปสู่ตัวตนใหม่ ๆ การค้นหาศักยภาพตัวเอง เพื่อความสำเร็จในอนาคตของนักเรียน