ส่องอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ไทย สร้างโอกาสลงทุน

อุตสาหกรรมยานยนต์
แฟ้มภาพ

ส่องอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ไทย สร้างโอกาสการลงทุน “BOI” กางแผนพัฒนาประเทศดันเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ตั้งเป้าเป็นแหล่งผลิตรถไฟฟ้าของโลก

วันที่ 24 สิงหาคม 2565 ดร.รัชนี วัฒนวิศิษฏพร ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยในงานสัมมนา “Thailand Focus 2022” ว่า ในปี 2564 อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ

1.กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า 2.กลุ่มการแพทย์ 3.กลุ่มปิโตรเคมี 4.กลุ่มอุตสากรรมเกษตร และ 5.กลุ่มยานยนต์และส่วนประกอบยานยนต์ โดยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นกุญแจสำคัญในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ โดยประเทศที่มีการลงทุนในไทยมากที่สุด คือ ญี่ปุ่น, จีน, สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกาและไต้หวัน (ตามลำดับ)

“รัฐบาลทำงานอย่างหนักในการให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และพยายามดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเพิ่มมาตรการและข้อเสนอจูงใจต่าง ๆ ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งลงทุนเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค” ดร.รัชนีเสริม

นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ในแผนพัฒนาประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของประเทศที่พยายามนำประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังนั้นจึงต้องเสริมความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน

“โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าว่าเราจะผลิตรถไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเองได้ โดยออกนโยบาย 3030 คือการที่เราสามารถผลิตรถไฟฟ้าในประเทศได้ 30% ภายในปี 2030 และต่อไปเราจะทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตรถไฟฟ้าของโลก

โดยการเพิ่มศักยภาพทางด้านการแข่งขันของประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกในกลุ่มอาเซียนที่มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนด้านนี้ โดยเราจะส่งเสริมผู้ลงทุนและให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนมากที่สุด” ดร.รัชนีกล่าว

ด้านนายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมไทยจากวิกฤตที่เกิดขึ้นว่า ไม่เพียงแค่โรคโควิดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เรากำลังเผชิญกับปัญหาการติดขัดด้านการค้าดิจิทัล สงครามระหว่างรัสเซียยูเครน

รวมถึงปรากฏการณ์เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกและภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอีกด้วย โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวันเป็นชนวนเหตุสำคัญที่ส่งผลให้เกิดการขาดตลาดของชิปเซมิคอนดักเตอร์ในขณะนี้

โดยประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะมาจาก 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ 1.ภาคบริการคิดเป็น 59% ของจีดีพี 2.ภาคอุตสาหกรรม 32% และ 3.ภาคเกษตรกรรม 9% ตามลำดับ โดยทางสภาอุตสาหกรรมฯได้ร่วมมือกับรัฐบาลในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้ประสานกับภาคเกษตรกรรม เพื่อทำให้เป็นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและนับเป็น 40% ของจีดีพี โดยเรียกรวมว่ากลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร

โดยอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงปี’63-64 ประเทศจะต้องปรับโครงสร้างทางธุรกิจให้เน้นไปทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ให้มากขึ้นเพื่อลดปัญหาการว่างงานอย่างยั่งยืน

นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์เรียลเอสเตทของประเทศไทยและในอนาคตว่า ถ้าหากมองไปที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยในขณะที่หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น

รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและปัญหาเงินเฟ้อ ล้วนส่งผลกระทบให้กับกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง ทำให้ตลาดกลุ่มที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มลดลง แต่ในกลุ่มผู้มีรายได้สูงนั้นการตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่

หลังจากการเปิดประเทศหลังโควิดทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น กลุ่มบริการก็เริ่มกลับมาดีขึ้น โดยมองว่าคลังสินค้าแบบทันสมัย หรือสมาร์ทแวร์เฮาส์ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคอุตสาหกรรม โดยมีความต้องการในตลาดที่สูงขึ้น โดยกลุ่มผู้ผลิตมีความต้องการซื้อที่ดินเพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมมากขึ้น

ในอนาคตของภาคโลจิสติกส์และภาคอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากหลังจากโควิด กลุ่มผู้ซื้อมีการใช้อีคอมเมิร์ซมากขึ้น การซื้อสินค้า สั่งสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นมาก ทำให้รูปแบบของการผลิต ระบบขนส่งจากโรงงานไปยังคลังสินค้าเปลี่ยนไป คลังสินค้าในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงโรงเก็บของ แต่เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าและจัดการ จัดสรร รวมถึงจัดระบบการขนส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อโดยตรงอีกด้วย

“เราต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมกิจการอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันและจะสูงขึ้นอีกในอนาคต โดยต้องมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ นวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงการใช้หุ่นยนต์มาช่วยสร้างศักยภาพให้กับคลังสินค้าเหล่านี้ รวมถึงการเพิ่มสวัสดิการที่ดีขึ้นให้กับแรงงานที่ทำงานภาคอุตสาหกรรมนี้ นี่จึงเป็นจุดศูนย์ถ่วงใหม่ในระบบเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนา” นายธนพลกล่าว