บล.พาย ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะปรับฐานลงรับแรงกดดันเชิงลบจากตลาดหุ้น Dow Jones ร่วง 3% หลังประธานยังแสดงความกังวลเงินเฟ้อ เน้นลดพอร์ต-เล่นระยะสั้น ประเมินกรอบทั้งสัปดาห์ 1,600-1,640 จุด
วันที่ 29 สิงหาคม 2565 นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ตลาดหุ้น Dow Jones ในวันศุกร์ปรับฐานแรง 3% หลังประธาน FED ออกมาแถลงในการประชุม Jackson Hole ด้วยท่าทียังคงแสดงความกังวลกับเงินเฟ้อสหรัฐ พร้อมระบุเป้าหมายเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ 2%
- โปรแกรมแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ ลีก 2024 ทีมชาติไทยและทุกคู่
- ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ตรวจผลรางวัล งวด 16 พ.ค. 2567
- ราคาทองเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์-ทองคำเพื่อลงทุนในไทยพุ่ง
แต่ก็ยอมรับว่าการนำเงินเฟ้อลงย่อมสร้างความเจ็บปวดแก่ภาวะเศรษฐกิจ สัญญาณดังกล่าวสอดคล้องกับที่เราประเมินมาตลอดว่า เงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุด แต่การลดลงยังเป็นไปได้ยาก ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.7% รับแรงหนุนจากการที่ซาอุฯส่งสัญญาณจะลดกำลังการผลิต
ขณะที่ต้นสัปดาห์มองดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) จะปรับฐานลงรับแรงกดดันเชิงลบจากตลาดหุ้น Dow Jones ในวันศุกร์ และเชื่อว่า Upside ตลาดหุ้นจะเริ่มจำกัด เนื่องจากประเมินว่านักลงทุนจะระมัดระวังมากขึ้นกับการเข้าซื้อหุ้น เพราะความกังวลกับดอกเบี้ยจะเริ่มมากขึ้นและยังประเมินได้ยากว่าดอกเบี้ยจะสิ้นสุดขาขึ้นเมื่อใด
นอกจากนี้ด้วยการที่ประธาน FED แถลงว่าความเจ็บปวดย่อมเกิดขึ้นหากจะควบคุมเงินเฟ้อยิ่งเป็นการสะท้อนว่าผลประกอบการหลังจากนี้อาจเผชิญความเสี่ยงด้านขาลงถือเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นโดยตรง ส่วนปัจจัยในสัปดาห์นี้ยังเน้นไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ อาทิ
(1) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐจาก CB Bloomberg ประเมินที่ 97.4 และตำแหน่งงานเปิดใหม่ที่ 10.4 ล้านตำแหน่ง หากออกมาร้อนแรงตลาดจะยิ่งเพิ่มความกังวลกับเงินเฟ้อและเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น
(2) ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐ (PMI) ในวันพฤหัสบดี Bloomberg ประเมินที่ 52.1
(3) ภาคแรงงานสหรัฐในวันศุกร์ Bloomberg คาดการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ 2.95 แสนตำแหน่ง และอัตราการว่างงานที่ 3.5% พร้อมกับค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงที่ 0.4%MOM หากตัวเลขออกมาดีกว่าตลาดคาดการณ์ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและกดดันตลาดหุ้น
สำหรับความเห็นล่าสุดของ CME FED Watch ระบุว่า 61% ให้น้ำหนักที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 40% จากช่วงกลางเดือน ส.ค. นับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาช่วงเวลาดอกเบี้ยอยู่ระดับสูงก็มักตามมาด้วยเศรษฐกิจถดถอย เชิงกลยุทธ์ยังเน้นลดพอร์ตเช่นเดิมเพราะความกังวลเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และเศรษฐกิจถดถอยยังมิเลือนหายไป
ส่วนหุ้นแนะนำระยะสั้นเน้นไปที่ Defensive Stock อาทิ โรงพยาบาลและบำรุงสุขภาพ (BCH CHG MEGA) สื่อสาร (ADVANC INTUCH) หุ้นปันผลสูง (TISCO) กลุ่มท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW MINT SPA) ประเมินกรอบทั้งสัปดาห์ 1,600-1,640 จุด
– TISCO หรือธนาคารทิสโก้ แนะนำซื้อ/ราคาเป้าหมายที่ 106.00 บาท แม้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจฉุดอุปสงค์สำหรับรถยนต์มือหนึ่งลง แต่คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะอยู่ในแดนบวกที่ 3% YOY ในปี 2022 หนุนจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อรถมือสอง และสินเชื่อออโต้แคชที่สูงขึ้น ที่ล้วนได้อานิสงส์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้น
– BCH หรือบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) แนะนำถือ/ราคาเป้าหมายที่ 21.00 บาท คาดกลุ่มประกันสังคมจะยังแข็งแกร่งใน 2H22 และหลังจากนั้น หนุนจากฐานผู้ประกันตนจำนวนมากที่ 9.96 แสนราย และการเพิ่มงบฯของสำนักงานประกันสังคม