มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : ธปท.จ่อปรับเกณฑ์สินเชื่อ แก้หนี้ครัวเรือนยั่งยืน 

ธปท.เตรียมออกเกณฑ์แก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนภายในปี 2565 พร้อมแนวทางปล่อยสินเชื่อรับผิดชอบ หรือ Responsible Lending คลอบคลุมสินเชื่อใหม่-ลดก่อหนี้เกินตัว หลังตัวเลขหนี้ครัวเรือนแตะ 88% เปิดตัวเลขลูกหนี้โครงการช่วยเหลือสะสมอยู่ที่ 3.9 ล้านบัญชี หรือ 3 ล้านล้านบาท 

วันที่ 26 กันยายน 2565 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) งานแถลงข่าว “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ว่า

ภายในปีนี้ ธปท.จะมีการออกแนวทางการปัญหาโครงสร้างหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน (directional paper) เพื่อเป็นมาตรการผลักดันให้เกิดการแก้ไขหนี้ในระยะยาว และช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือน เช่น เกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ครอบคลุมทั้งหนี้ก้อนใหม่ และการให้ข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้อง และลดการก่อหนี้เกิดตัว 

ทั้งนี้ หากดูปัญหาหนี้ครัวเรือน ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างมานานและมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยจากปี 2553 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 60% ของจีดีพี ผ่านมา 10 ปีเพิ่มขึ้นเป็น 80% ในปี 2562 และตัวเลขล่าสุดไตรมาสที่ 2/2565 อยู่ที่ 88% ของจีดีพี

ซึ่งที่ผ่านมา ธปท.ได้ออกมาตรการหลากหลายและตรงจุดเพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือลูกหนี้ โดยจะเห็นว่าตัวเลขลูกหนี้ที่เข้าโครงการระยะเริ่มแรกเดือนกรกฎาคม 2563 มีลูกหนี้สะสมอยู่ที่ 12.5 ล้านบัญชี หรือคิดเป็นมูลหนี้ 7.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของสินเชื่อรวม หลังจากเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว ส่งผลให้ลูกหนี้สะสมทยอยปรับลดลงโดยในเดือนมิถุนายน 2565 เหลืออยู่ 3.9 ล้านบัญชี มูลหนี้ 3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 14% ของสินเชื่อรวม 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าวันนี้เศรษฐกิจดีขึ้น และขยายตัวต่อเนื่อง แต่เป็นการฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ผู้ประกอบอาชีพอิสระยังคงเจอกับภาวะค่าครองชีพสูง ซึ่งอาจจะซ้ำเติมลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง และทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนรุนแรงขึ้นจนอาจจะกระทบต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะต่อไป ดังนั้น เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด (smooth takeoff) การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงต้องมี 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 

1.ทำอย่างครบวงจร สอดคล้องกับลักษณะและสาเหตุของปัญหาในแต่ละช่วงของการเป็นหนี้ โดยตั้งแต่ก่อนก่อหนี้ ต้องสร้างวินัยทางการเงินให้ลูกหนี้ ขณะที่เจ้าหนี้ต้องปล่อยหนี้อย่างมีคุณภาพ สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจของผู้กู้ เช่น การให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (responsible lending) 

ขณะเป็นหนี้ ต้องสร้างกลไกช่วยลูกหนี้ที่มีศักยภาพให้ชำระหนี้ได้เร็วขึ้น เพื่อไม่ให้หนี้พอกพูน เช่น กลไก risk-based pricing ที่จะช่วยให้ลูกหนี้ดีได้รับดอกเบี้ยลดลงเหมาะกับความเสี่ยงของตน รวมทั้งมีแนวทาง refinance หนี้ที่สะดวกขึ้นในต้นทุนที่เหมาะสม และเมื่อมีปัญหาชำระหนี้ ควรมีกลไกสนับสนุนการแก้หนี้ที่เป็นมาตรฐาน เพื่อช่วยให้ลูกหนี้หลุดจากวงจรหนี้ได้จริง เช่น การไกล่เกลี่ยหนี้นอกศาล การแก้หนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายราย 

2.ทำอย่างถูกหลักการ โดยพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม รู้ว่าอะไรควรทำ และไม่ควรทำ (Do’s and Don’ts) ซึ่งหลัก ๆ คือ (1) ต้องแก้หนี้ให้ตรงจุด สอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้ ไม่ทำแบบวงกว้างเพราะภาคการเงินจะมีทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ต้องการจริง ๆ ได้น้อยลง (2) ไม่สร้างภาระเพิ่มให้กับลูกหนี้ในอนาคต เช่น พักชำระหนี้ไปเรื่อย ๆ จนลูกหนี้มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 

(3) ไม่ลดโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ เช่น ลบหรือแก้ประวัติสินเชื่อของลูกหนี้ จนสถาบันการเงินไม่รู้จักลูกหนี้และไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ และ (4) เจ้าหนี้และลูกหนี้ต้องร่วมมือและตั้งใจจริงในการแก้ไขหนี้ เช่น เจ้าหนี้ต้องช่วยเหลือให้เหมาะกับความสามารถในการชำระหนี้ ลูกหนี้ก็ต้องเปิดเผยข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้อง เพื่อให้การแก้หนี้สำเร็จ 

“การดำเนินการภายใต้หลักการเหล่านี้ ต้องใช้เวลา เพราะหนี้ครัวเรือนไทยเป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน และเกิดจากหลายสาเหตุทั้งจากฝั่งเจ้าหนี้ และลูกหนี้ จึงไม่สามารถแก้ได้ด้วยมาตรการเดียว แต่ต้องอาศัยมาตรการที่หลากหลาย และดำเนินการอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ซึ่งการทำอะไรที่ดูดี หรือดูเร็ว อาจไม่ยั่งยืน”

และ 3.บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคการเงินในฐานะเจ้าหนี้ ที่ต้องให้สินเชื่อใหม่โดยคำนึงถึงศักยภาพลูกหนี้ในการชำระหนี้มากขึ้น พร้อมทั้งให้ข้อมูลที่ไม่กระตุ้นการก่อหนี้เกินตัว ภาครัฐ มีบทบาทในการสร้างรายได้และเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านข้อมูล ที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 

ภาคเอกชน ยกระดับบทบาทนายจ้างในการดูแลปัญหาหนี้ของลูกจ้าง และลูกหนี้ ต้องเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน ก่อหนี้โดยคำนึงถึงศักยภาพของตนเอง และมีวินัยในการชำระหนี้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธปท.ได้ดำเนินมาตรการแก้หนี้โดยยึดตามแนวทางข้างต้น และงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ในครั้งนี้ ก็เป็นการต่อยอดจากสิ่งที่ ธปท.ทำมาอย่างต่อเนื่อง

“ภาครัฐ และภาคการเงิน ที่ได้ร่วมกันทำงานอย่างเข้มแข็งตลอดเวลาที่ผ่านมา และจะร่วมกันขับเคลื่อนแผนงานต่อไป เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ และทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน”