อาคม เผย 5 มาตรการของขวัญปีใหม่ หนุนจีดีพีโต 0.76% เงินสะพัด 2.78 แสนล้าน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ
แฟ้มภาพ

รมว.คลัง เผยของขวัญปีใหม่ปี 2566 ชี้ 5 มาตรการใหญ่ จากทั้งหมดรวม 30 โครงการย่อย ช่วยหนุนจีดีพีโต 0.76% เม็ดเงินสะพัดกว่า 2.78 แสนล้านบาท คาดรัฐสูญเสียรายได้ 1.86 หมื่นล้านบาท เล็งเจรจาสายการบินภายในประเทศลดราคาค่าโดยสาร หลังลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงจาก 4.726 บาทต่อลิตร เหลือ 0.20 บาทต่อลิตร กระทบรายได้ 1.8 พันล้านบาท แจงไม่มีคนละครึ่ง นโยบายการคลังต้องกลับสู่ภาวะปกติ

วันที่ 20 ธันวาคม 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการดำเนินมาตรการและโครงการในส่วนของราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อมอบเป็นของขวัญวันปีใหม่ 2566 ให้แก่ประชาชน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

1.มาตรการเกี่ยวข้องกับภาษีและค่าธรรมเนียม

2.มาตรการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs)

3.มาตรการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง ซึ่งทั้ง 3 กลุ่ม มีทั้งหมด 18 มาตรการ

แบ่งเป็นมาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียม 5 มาตรการ และมาตรการ SFIs 7 มาตรการ และหน่วยงานข้าราชการ 6 มาตรการ โดยทั้งหมดนับเป็น 30 โครงการย่อย

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการทางด้านภาษีและค่าธรรมเนียม 5 มาตรการ คาดว่าเม็ดเงินที่รัฐจะสูญเสียรายได้คิดเป็นเม็ดเงินราว 18,690 ล้านบาท และคาดว่าจะสนับสนุนให้เกิดสภาพคล่องการใช้จ่ายและการลงทุนกว่า 278,771 ล้านบาท โดยมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและก่อให้เกิดผลบวกต่อจีดีพี ประมาณ 0.76%
สำหรับรายละเอียด 5 มาตรการ ได้แก่

1.มาตรการ “ช้อปดีมีคืน ปี’66” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2566 ถึงวันที่ 15 ก.พ. 2566 โดยกำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 40,000 บาท

ADVERTISMENT

โดยแบ่งเป็น ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ จำนวน 30,000 บาทแรก จะต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบกระดาษหรือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) ค่าซื้อสินค้าหรือบริการ อีกจำนวน 10,000 บาท จากส่วนที่เกิน จะต้องออกใบกำกับภาษีรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ดี สินค้าที่ร่วมรายการที่พิเศษจากเดิม คือ สถานีบริการน้ำมัน แต่จะต้องเป็นสถานีบริการที่อยู่ในระบบภาษีเท่านั้น

2.มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2566 (มาตรการลดภาษีที่ดิน) โดยมาตรการดังกล่าวจะให้ลดภาษีในอัตรา 15% ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ของปีภาษี 2566 พร้อมทั้งการยืดระยะเวลาการชำระภาษีออกไปอีก 2 เดือน เช่น มีกำหนดชำระภาษีเดือนเมษายน 2566 จะขยับเป็นเดือนมิถุนายน 2566

ทั้งนี้ การปรับลดภาษีและสิ่งปลูกสร้างในปี 2566 หลังจากที่ในปี 2565 ไม่ได้มีการปรับลด เนื่องจากมองว่า ในปี 2566 จะมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น และการเพิ่มขึ้นของราคาประเมิน ทำให้การปรับลด 15% จะเป็นการสนับสนุนการเติบโต

3.มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยปี 2566 โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 1% โดยภาครัฐออกให้ครึ่งหนึ่ง และประชาชนออกเองครึ่งหนึ่ง เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว เช่นเดียวกับค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งมีผลใช้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566

4.มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต 2560 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลดภาระของผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาต 1.54 ล้านใบ ระยะเวลาตั้งแต่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2566 หรือคิดเป็นเม็ดเงินรายได้ 380 ล้านบาท

5.มาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานภายในประเทศ โดยลดอัตราภาษีตามปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่นที่ใช้ในประเทศจาก 4.726 บาทต่อลิตร เหลือ 0.20 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและบริการให้มีการฟื้นตัวต่อเนื่องตามนโยบายภาครัฐ

และบรรเทาผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสายการบิน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566-30 มิถุนายน 2566

ขอสายการบินลดค่าตั๋วโดยสาร

อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังได้ขอความร่วมมือกับสายการบินต่างๆ ได้ให้ของขวัญกับประชาชนในเรื่องของตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับเสียงจากประชาชนว่าราคาตั๋วเครื่องบินค่อนข้างสูง จึงอยากให้ผู้ประกอบการทยอยปรับราคาค่าโดยสารลง หรือการออกมาตรการต่าง ๆ เช่น การออกเป็นบัตรกำนัล (Voucher) หรือการสะสมหรือแลกไมล์ เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) ได้สนับสนุนสภาพคล่องให้กับธุรกิจสายการบินและเกี่ยวข้องไปมากกว่า 8,800 ล้านบาท

“ใน 5 มาตรการหลักในเรื่องของลดภาษีและค่าธรรมเนียมจะมีผลต่อจีดีพีราว 0.76% อย่างไรก็ดี ในส่วนของมาตรการคนละครึ่งจะไม่มี เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว นโยบายการคลังจะต้องกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หรือ Normalization โดยมาตรการกระตุ้นจะเป็นการพุ่งเป้าไปเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้การใช้ทรัพยากรทางการคลังเกิดประโยชน์สูงสุด”

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวเสริมว่า มาตรการการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น คิดเป็นผลกระทบต่อรายได้ราว 1,800 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น

อย่างไรก็ดี ตอนนี้อยู่ระหว่างการหารือและพูดคุยกับผู้ประกอบการ และสมาคมสายการบินในประเทศ เพื่อมอบนโยบายในเรื่องของราคา แต่ยอมรับว่าเป็นกลไกในการกำหนดราคา จึงมีหลายเรื่องที่ต้องพูดคุย

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 กรมสรรพสามิตได้สูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563 อยู่ที่ 200 ล้านบาท เนื่องจากเที่ยวบินค่อนข้างน้อย และทยอยเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ 1 ม.ค.-30 มิ.ย. 2565 เพิ่มเป็น 500-600 ล้านบาท และล่าสุดเป็น 800 ล้านบาท จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ดีขึ้น จึงอยากให้สายการบินช่วยส่งผ่านการช่วยเหลือไปถึงผู้บริโภคด้วย