ปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความผันผวน โดยการลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็มีทั้งช่วงที่ดีและไม่ดี ส่วนแนวโน้ม ในปี 2566 นี้ ท่ามกลางแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย
ขณะที่หลายฝ่ายกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอย และคาดการณ์กันว่าตลาดหุ้นของประเทศหลัก ๆ อาจจะไม่ดีนัก ส่วนแนวโน้มฝั่งตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับบรรดาโบรกเกอร์มานำเสนอ
“บล.กสิกรฯ” ชูดัชนี 1,757 จุด
เริ่มจาก “ภาสกร ลินมณีโชติ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปี 2566 แต่เป็นการ “มองบวกอย่างระมัดระวัง” โดยคาดว่าทั้งเอเชียและประเทศไทยจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่เติบโตมากขึ้นในปีนี้ และอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง
ซึ่งไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่คาดว่าจะมีความเป็นไปได้น้อยที่สุด ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเมื่อเทียบกับสหรัฐและยุโรป
“คาดว่า GDP ของไทยจะโตขึ้นอยู่ที่ 3.7% ต่อปี (YoY) จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเพิ่มขึ้น อีกทั้งจีนยังผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID น่าจะเป็นบวกต่อการท่องเที่ยวมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เนื่องจากนโยบายของจีนและความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก”
นอกจากนี้แนวโน้มการลงทุนในปี 2566 ยังขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจรูปแบบ K-shaped เป็นหลัก โดยคาดว่ากลุ่มที่มีรายได้ระดับสูงจะทำได้ดีกว่ากลุ่มรายได้ปานกลาง ทั้งนี้ จากสภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวจะมีการอัดฉีดเงินเกิดขึ้นทั่วโลก (รวมถึงไทย) ส่งผลให้กำลังซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้ระดับสูงแข็งแกร่งกว่า ทั้งในแง่ของความสามารถในการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อระดับสูงได้ดีกว่า หรือสภาวะเงินที่อาจจะตึงตัวต่อเนื่องในปี 2566
“ภาสกร” กล่าวว่า บล.กสิกรไทยคาดดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปี 2566 อยู่ที่ 1,757 จุด ทั้งนี้ ในกรณีดีที่สุดคือ ไม่มีเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อลดลง คาดว่า SET Index จะอยู่ที่ 1,946 จุด ขณะที่กรณีเลวร้ายที่สุด คือเงินเฟ้อพุ่ง ธนาคารกลางทั่วโลกขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุก ตลอดจนสงครามยืดเยื้อรุนแรงขึ้น คาดว่า SET Index จะอยู่ที่ 1,568 จุด
ธีมลงทุนจะเน้นไปยังหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นในรูปแบบ K-shaped การเปิดประเทศ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและมีการป้องกันความเสี่ยงต่อปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์และคุณภาพสินทรัพย์ ได้แก่ BCP, PRM, KTB, BAM, SC, AAI, CRC, CPN, BDMS, MINT, ADVANC และ TEGH
“บล.ยูโอบีฯ” เล็งเป้า 1,790 จุด
ขณะที่ “กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” ผู้อำนวยการอาวุโส และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้ จะมีปัจจัยบวกจาก 3 เรื่องหลัก
ได้แก่ 1.เเม้ว่าภาพของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง แต่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ดีกว่า จากการเปิดประเทศและนักท่องเที่ยวที่ทยอยเข้ามาต่อเนื่อง 2.ด้านสถานะการเงินการคลังของไทยก็ดีกว่าในหลายประเทศ รวมถึงหนี้สินต่อ GDP ของประเทศไทย ก็มีไม่มาก และเป็นประเทศที่มีทุนสำรองสูง อยู่ใน 20 อันดับแรกของโลก
และ 3.การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะมีการวางมาตรการต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจออกมา
“กิจพณ” กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยจึงยังคงมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยให้กรอบสูงสุดของดัชนี SET Index ไว้ที่บริเวณ 1,790 จุด และให้ดาวน์ไซด์ต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 1,580 จุด โดยแนะนำลงทุนหุ้นใน 3 กลุ่มที่จะเติบโตได้ดี
“หุ้นกลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มเปิดเมือง จะเป็นหุ้นกลุ่มธนาคาร, ท่องเที่ยว, ค้าปลีก กลุ่มที่สองจะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปิดประเทศของจีน จะเป็นหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศ อย่างหุ้นบันเทิง, วัสดุก่อสร้าง, อาหาร และการเงิน”
“บล.โนมูระ” เป้าสูง 1,800 จุด
ด้าน “กรภัทร วรเชษฐ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปี 2566 หรือครึ่งแรกอาจจะยังมีความผันผวน เนื่องจากยังเป็นช่วงที่ตลาดยังคงต้องลงทุนอยู่ภายใต้ความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปที่่มีแนวโน้มความเสี่ยงถดถอยหรือชะลอตัวลง แต่อย่างไรก็ตามในฝั่งของเอเชียคาดว่าประเทศจีนมีโอกาสเปิดประเทศได้
“เศรษฐกิจจีนโดยรวมน่าจะฟื้นตัวแบบเร่งตัวขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจในฝั่งตะวันตกจะดูแย่ลง ฉะนั้นเม็ดเงินลงทุน หรือฟันด์โฟลว์จะทยอยไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยและฝั่งเอเชียเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกจากโอกาสในการเลือกตั้งที่น่าจะเดินหน้ามากขึ้น”
โดยเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวขึ้น โดย GDP คาดว่าจะเติบโตถึง 3.8% รวมถึงทิศทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาในอัตราเร่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 28 ล้านราย อีกเรื่องหนึ่งก็คือตลาดหุ้นไทยและเอเชียโดยรวมมีการปรับประมาณการลดลงในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้ Downside Risk อาจจะน้อยกว่าฝั่งตะวันตก
“กรภัทร” กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2566 อยู่ในกรอบแนวต้าน 1,750-1,820 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,580-1,550 จุด โดยเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,800 จุด โดยอิงจากค่าส่วนชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุน (ERP) ที่ค่าเฉลี่ย 3.06% ขณะที่ประเมินกำไรของบริษัทจดทะเบียนสำหรับปีหน้าอยู่ที่ 105 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 6% จากปี 2565
“ธีมการลงทุนหลักจะเน้นไปที่หุ้น Domestic Play โดยหุ้น Toppick ในปีนี้จะมีหุ้น AAV, AOT, CPALL, CRC, SCG, AMATA ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากจีนเปิดประเทศ และกลุ่ม Anti-Commodity ที่ได้ประโยชน์โครงสร้างราคาพลังงานที่จะปรับลดลง คือ GPSC, GULF รวมถึงหุ้นในกลุ่ม Farm Income จากรายได้ครัวเรือนและรายได้ผลิตผลเกษตรที่อาจเพิ่มขึ้น ได้แก่ CBG และสุดท้ายในกลุ่ม Value Play เลือกเป็น BBL, BAM”
จากภาพข้างต้น ทั้ง 3 โบรกฯมองภาพตลาดหุ้นไทยปี 2566 ค่อนข้างดี ไม่มีใครให้เป้าดัชนีต่ำกว่า 1,700 จุด