ทองคำไทยฝ่าด่านบาทแข็ง คาดหลังตรุษจีนทะลุ 3 หมื่น

ทองโลกแรงเกินคาด “แม่ทองสุก” ฟันธงไตรมาส 2 เห็นทะลุ 2,000 เหรียญ เหตุเงินเฟ้อสหรัฐคลาย-เฟดเบาเครื่องขึ้นดอกเบี้ย ลุ้นปีนี้ทองโลกฝ่าจุดพีกเดิม 2,075 เหรียญต่อออนซ์ “ทองในประเทศ” เผชิญ “บาทแข็ง” ขึ้นได้จำกัด ลุ้นแตะ 30,500 บาท แนะลงทุน “TFEX-เทรดในเป๋าตัง” ปิดความเสี่ยงค่าเงิน

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ (MTS) ผู้ประกอบการร้านทอง “แม่ทองสุก” กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงแนวโน้มราคาทองคำปี 2566 ว่า น่าจะเป็น “ขาขึ้น” ถือเป็นปี “กระต่ายทองคำ” โดยช่วง 14 วันแรกหลังปีใหม่มา (2-15 ม.ค.) ราคาทองคำต่างประเทศ (spot) ปรับขึ้นอย่างร้อนแรงราว 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ในช่วงเดียวกันดังกล่าว ราคาทองในประเทศปรับขึ้นเพียง 0.7% เท่านั้น หรือเพิ่มขึ้นแค่ 150 บาท เนื่องจากสถานการณ์ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาถึง 1.50 บาทต่อดอลลาร์

“เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ทองคำในประเทศไทยขึ้นได้ไม่เยอะ ซึ่งโดยปกติถ้าราคาทองตลาดโลกขึ้น 5% ทองไทยควรจะขึ้นประมาณ 3-4% แต่ครั้งนี้ ทองคำไทยขึ้นได้แค่ 0.6-0.7% เท่านั้น หลัก ๆ มาจาก 2 เรื่อง คือ เงินไหลเข้าจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในช่วง 14 วันรวมกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเยอะมาก ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว”

ลุ้นทองฝ่าจุดสูงสุด 2,075 เหรียญ

นพ.กฤชรัตน์กล่าวว่า ปีนี้คาดว่าจะเห็นราคาทองคำโลกขึ้นไปทะลุ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ในช่วงไตรมาส 2 จากเดิมวิเคราะห์ว่า ปีนี้จะเห็นราคาทองที่ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในไตรมาสแรกนี้ แต่ปรากฏว่า “มาเร็วกว่าที่คาด” คือ แค่ประมาณ 12-13 วัน ทะลุ 1,900 ดอลลาร์แล้ว โดยราคาทองที่พุ่งขึ้น มาจากการที่ภาวะเงินเฟ้อสหรัฐที่ตลาดมองว่าจะอ่อนตัวลง โดยเฉพาะดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐ ปรับตัวลดลงจากระดับ 7.1% ลงมาที่ระดับ 6.5% โดย CPI มีการปรับลดลงมาตลอด หมายความว่ายาที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใส่เข้าไป คือ การขึ้นดอกเบี้ย เริ่มออกฤทธิ์ ทำให้เงินเฟ้อลดลง

“พอเงินเฟ้อลดลง สิ่งที่ดีต่อตลาดการเงินของโลกเลย ก็คือ ตลาดหุ้นจะดีขึ้น และตลาดทองคำก็จะดีขึ้น ซึ่งตลาดมองว่าพอภาวะเงินเฟ้อลดลง เฟดก็จะลดความร้อนแรงในการขึ้นดอกเบี้ยลง โดยการประชุมเฟดในเดือน ก.พ.นี้ คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ดังนั้น ประเด็นตรงนี้ก็เลยทำให้ราคาทองคำรับรู้ข่าวได้เร็ว ก็เลยปรับขึ้นไปก่อน”

ทั้งนี้ ปัจจัยพื้นฐานที่เกื้อหนุนการขึ้นของทองคำ ก็คือ การชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด การอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ และการอ่อนตัวลงของตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ไม่ว่าจะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ภาวะเศรษฐกิจจีน หรือเศรษฐกิจไทย จะเป็นปัจจัยรอง

“ปีนี้เรามองว่าโอกาสที่จะเห็นราคาทองคำขึ้นไปจุดสูงสุดเดิมที่ 2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ น่าจะมีสูง คือ ยังมีช่องว่างตรงนี้อยู่ประมาณ 170 เหรียญ แล้วถ้าปลายปีเฟดลดดอกเบี้ย ราคาทองไปต่ออีกแน่นอน”

ทองไทยเจอบาทแข็งขึ้นลำบาก

นพ.กฤชรัตน์กล่าวต่อไปว่า ส่วนราคาทองในประเทศคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเห็น 30,000 บาทต่อบาททองคำได้ในปีนี้แน่นอน โดยจุดสูงสุดเดิมของทองไทยเคยขึ้นไปที่ 32,000 บาท แต่ยอมรับว่า “ปีนี้อาจจะยาก” เพราะสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่า อย่างไรก็ดีภาพรวมทั้งปีนี้น่าจะเห็นที่ 30,500 บาทได้เป็นอย่างน้อย หรืออาจจะมากกว่านั้นขึ้นอยู่เศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจจีนด้วย เนื่องจากหากเศรษฐกิจจีนฟื้น เงินหยวนแข็งค่า เงินบาทก็จะแข็งตามไปด้วย

“สมมุติว่าทองตลาดโลกขึ้นไป 2,000 เหรียญ คือ ขึ้นไปอีก 100 เหรียญ ถามว่า
ทองไทยจะขึ้นเท่าไหร่ สมมุติว่า ถ้าค่าเงินบาทเท่าเดิม ทองไทยจะขึ้นไป 1,500 บาท แต่เวลาเงินบาทแข็งค่าขึ้นมา 1 บาท จะกระทบทองไทยลดลง 800 บาท ดังนั้น ถ้าเงินบาทไม่แข็งค่า ตอนนี้ทองไทยน่าจะทะลุ 31,000 บาทไปแล้ว แต่ที่ไม่ทะลุ เพราะเงินบาทบ้านเราแข็งเร็วมาก ถ้าเทียบกับภูมิภาค”

แนะเทรดดอลลาร์ไม่เสี่ยงค่าเงิน

นพ.กฤชรัตน์กล่าวอีกว่า จากราคาทองที่ขึ้นไปค่อนข้างมาก ก็จะมีการแกว่งของราคา ซึ่งจังหวะที่ราคาย่อลงมา จะเป็นจังหวะให้เข้าซื้อ โดยมีแนวรับสำคัญที่บริเวณ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 1,890 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นแนวรับในระยะสั้น ส่วนแนวต้านบริเวณ 1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์ น่าจะทะลุขึ้นไปได้ แล้วก็น่าจะเห็น 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในประมาณไตรมาส 2 ของปี

อย่างไรก็ดี นักลงทุนสามารถลงทุนทองคำต่างประเทศได้ ผ่าน 2 ผลิตภัณฑ์ คือ การลงทุนผ่านตลาดซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ซึ่ง MTS มีให้บริการอยู่ และการลงทุนโกลด์ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง ที่ปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะสะดวก และไม่มีความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน เนื่องจากเทรดเป็นสกุลดอลลาร์ได้

นพ.กฤชรัตน์กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีน หรือปีใหม่ ไม่ค่อยมีผลกับราคาทองคำมากเหมือนช่วงกว่า 10 ปีก่อนแล้ว โดยระยะหลังโลกมันเปลี่ยน จากดีมานด์-ซัพพลายมาเป็นการลงทุน (investment) หมายความว่า ทองจะขึ้นลง ตามภาวะเศรษฐกิจโลกและค่าเงินดอลลาร์เป็นหลัก ส่วนดีมานด์-ซัพพลายมีส่วนแค่ประมาณ 10-20%

เฟดขึ้น ดอกเบี้ย 0.25% ทองไปต่อได้

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทวายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า หากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.25% ตามคาด ทองคำน่าจะทรงตัวและปรับขึ้นไปต่อไป แต่ถ้าปรับขึ้นที่ 0.5% อาจจะเซอร์ไพรส์ตลาดและมีโอกาสกดดันราคาทอง ลงไปที่บริเวณ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้

“ราคาทองคำสูงสุดปีนี้ น่าจะได้เห็น 2,200 ดอลลาร์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่จะเข้ามาหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นว่าจะมาในช่วงไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 โดยเชื่อว่าภายในไตรมาส 2 น่าจะมีโอกาสเห็นราคาทองคำทะลุ 2,000 ดอลลาร์ขึ้นไปได้ เพราะโดยปกติในช่วง 2 ไตรมาสแรกของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่ราคาทองคำปรับขึ้นมากที่สุด ก่อนที่จะเริ่มปรับลดลงในช่วงไตรมาส 3 และปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายไตรมาส 4”

นอกจากนี้ ทิศทางเงินลงทุนที่คาดว่าจะไหลเข้าตลอดทั้งปี ทำให้แนวโน้มค่าเงินบาทจะเเข็งค่า ซึ่งจะเป็นตัวที่กดดันราคาทองไทยให้ปรับขึ้นได้น้อยกว่าราคาทองโลก โดย YLG ประเมินราคาทองคำในในประเทศพีกสุดของปีนี้ที่บาทละ 31,000 บาท แต่หากเงินบาทยังแข็งค่ามาก ทองคำก็อาจจะไม่ทะลุบาทละ 30,000 บาทก็ได้

นางพวรรณ์กล่าวอีกว่า YLG แนะนำนักลงทุนทยอยสะสมทองคำได้ ในช่วงไตรมาส 1-2 นี้ และรอดูว่าปัจจัยสงครามหรือปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ ว่าจะเข้ามาหนุนราคาทองคำมากแค่ไหน แต่โดยหลักคงต้องติดตามดูค่าเงินดอลลาร์ หากอ่อนค่าลงก็จะเป็นข่าวดี แต่หากแข็งค่าก็จะเป็นตัวที่กดดันราคาทองคำได้ “เชื่อว่าปีนี้ ใน 2 ไตรมาสแรก ทองคำจะยังเป็นสินทรัพย์หลักที่นักลงทุนให้ความสนใจและเข้ามาลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงมากขึ้น”

โกลเบล็กแนะหาจังหวะทำกำไร

ด้าน นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก กล่าวว่า ในระยะนี้ ถ้าราคาทองคำยังดีดตัวขึ้น ก็แนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะขายทำกำไรได้ โดยให้กรอบราคาทองคำระยะสั้นแนวต้านที่บริเวณ 1,920-1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และหากทองคำอ่อนตัวไม่หลุด 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนำทยอยเข้าซื้อสะสม

ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดรอบนี้ สถาบันส่วนใหญ่มองว่าจะขึ้นเพียง 0.25% ซึ่งไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ แต่จะปรับตัวขึ้นอีกหรือไม่ ต้องรอดูว่าหากราคาไม่หลุดแถวบริเวณ 1,900 หรือ 1,890 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ ขณะที่ในอีกมุมมองหนึ่ง หากเฟดปรับขึ้น 0.5% ทองคำมีโอกาสหลุด 1,890 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรืออาจจะได้เห็นราคาทองคำลดลงไปเตะที่บริเวณ 1,875 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้

“คาดว่าราคาทองคำน่าจะยังไม่ทะลุ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในครึ่งปีแรกเนื่องจากมองว่าถ้าทองคำจะขึ้นแรง ต้องมีปัจจัยกระตุ้นที่รุนแรง เช่น สงครามหรือเฟดที่จะชะลอ หรือเริ่มลดดอกเบี้ยลง ซึ่งอาจจะเป็นในช่วงปลายปีนี้” นายณัฐวุฒิกล่าว