หุ้นแบงก์กอดคอร่วงยกแผง KBANK ลบสูงสุด นักลงทุนวิตกธนาคารสหรัฐล้ม

ตลาดหุ้น

หุ้นแบงก์กอดคอร่วงยกแผง KBANK นำทีม วิตกธนาคาร Silicon Valley-Signature ของสหรัฐถูกปิด ด้าน “บล.FSSIA” เผย KBANK-SCB ร่วงแรง เหตุนักลงทุนกังวลเพราะลงทุนในเวนเจอร์แคปปิตอลมาก กสิกรฯยังมีปัญหาความเปราะบางกลุ่มเอสเอ็มอี ต้องตั้งสำรองหนี้สูง แนะ “wait and see” รอประชุมเฟด-เงินเฟ้อสหรัฐ ที่เป็นประเด็นเชิงโครงสร้าง หากยังสูงโอกาสที่เฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยก็คงยาก

วันที่ 13 มีนาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทย (SET Index) เช้านี้เปิดตลาดปรับตัวลงไปทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,583.96 จุด หรือปรับตัวลดลง 15.69 จุด แต่ระหว่างทางไต่กลับมาได้ โดยหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BANK) ถูกแรงเทขายหนักราคาปรับตัวลงยกแผง หลังได้รับเซนติเมนต์เชิงลบ จากธนาคาร Silicon Valley Bank และ Signature Bank ของสหรัฐถูกปิด แม้ว่าอาจไม่ได้กระทบในแง่ของพื้นฐานก็ตาม

โดยข้อมูล 11.50 น. พบว่าราคาหุ้น บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ลดลง 2.57% ตามมาด้วย บมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) ลดลง 2.61% บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) ลดลง 0.98% บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ลดลง 0.95% บมจ.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ลดลง 0.75% บมจ.ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ลดลง 1.20% บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ลดลง 0.85% บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ลดลง 0.72%

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ราคาหุ้นแบงก์ร่วงนำตลาดวันนี้เป็นเพราะได้รับเซนติเมนต์เชิงลบจากธนาคาร Silicon Valley Bank และ Signature Bank ของสหรัฐถูกปิด แม้ในเชิงพื้นฐานไม่ได้มีปัญหาด้านสภาพคล่อง เหมือนกับ SVB หรือ SB แต่เนื่องจากการลงทุนที่เชื่อมโยงกันทั่วโลกทำให้นักลงทุนบางส่วนตัดสินใจขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อสวิตช์มาสู่สินทรัพย์ปลอดภัย หวังลดความเสี่ยงไว้ก่อน

โดย KBANK และ SCB เป็นหุ้นที่ราคาย่อลงกว่าธนาคารอื่น สาเหตุเพราะมีการลงทุนในเวนเจอร์แคปปิตอล (กลุ่มฟินเทคสตาร์ตอัพและคริปโตเคอร์เรนซี) อยู่ค่อนข้างมากในภาคพื้นเอเชีย ทำให้นักลงทุนอาจกังวลว่า วีซีและสตาร์ตอัพต่าง ๆ ที่เข้าไปลงทุนจะเกิดปัญหาการขอกู้หรือความต้องการระดมทุนทำได้ยากขึ้น เป็นผลให้เงินลงทุนที่ KBANK และ SCB ลงทุนไปนั้นอาจกระทบหรือไม่ ประกอบกับ KBANK เองอาจจะมีปัญหาด้านความเปราะบางของลูกค้าในกลุ่มเอสเอ็มอี ที่ทำให้ต้องตั้งสำรองหนี้สูง

กลยุทธ์ระยะสั้น แนะนำให้ “wait and see” รอไปก่อน รอติดตามสัปดาห์นี้ เชื่อว่าทางการสหรัฐจะมีมาตรการอะไรออกมาอีกหลายชุด และคืนนี้จะมีการประชุมเฟด ซึ่งต้องดูว่าประธานเฟดจะออกมาช่วยทำให้ตลาดมั่นใจได้แค่ไหน ฉะนั้นแม้ราคาหุ้นถูกแต่ยังไม่จำเป็นต้องรีบกลับเข้าไป ให้รอดูสถานการณ์สัก 1 สัปดาห์ เพราะหากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่เป็นประเด็นเชิงโครงสร้างยังสูง โอกาสที่เฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยก็คงยาก