ธนาคาร SVB สหรัฐล้มละลาย หวั่นโดมิโน “ดร.พิพัฒน์” KKP วิเคราะห์ผลกระทบ

ธนาคาร SVB ล้มละลาย รัฐบาลสหรัฐสั่งปิด และเข้าควบคุมทันที หวั่นโดมิโน เผยต้นตอจากปัญหาวิกฤตสภาพคล่องของกลุ่มเวนเจอร์แคปและสตาร์ตอัพ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP วิเคราะห์ปมปัญหาและผลกระทบ

วันที่ 11 มีนาคม 2566 ซีเอ็นเอ็น รายงานว่าธนาคารแห่งซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley Bank : SVB) ซึ่งเป็นผู้ปล่อยกู้ให้กับกลุ่มเวนเจอร์แคป และสตาร์ตอัพ เข้าสู่ภาวะล้มละลายหลังเพิ่มทุนไม่สำเร็จ ระบุว่าถือว่าเป็นความวิกฤตเงินทุนนำไปสู่วิกฤตครั้งใหญ่เป็นอันดับสองของสถาบันการเงินในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ

หลังจากเมื่อวันพุธที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ธนาคาร SVB ได้ออกมาประกาศว่า ช่วงที่ผ่านมาได้ขายหลักทรัพย์จำนวนมากและส่งผลให้เกิดการขาดทุน และจะขายหุ้นพิ่มทุนใหม่มูลค่า 2.25 พันล้านดอลลาร์เพื่อเสริมงบดุล ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่บริษัทร่วมทุนรายใหญ่ ซึ่งมีรายงานว่าแนะนำให้บริษัทต่าง ๆ ถอนเงินออกจากธนาคาร

ส่งผลให้หุ้นของบริษัทร่วงลงในวันพฤหัสบดี และฉุดหุ้นธนาคารอื่น ๆ ลงไปด้วย และในเช้าวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม หุ้นของ SBV ถูกระงับการซื้อขายและล้มเลิกความพยายามในการเพิ่มทุนอย่างรวดเร็ว

รวมถึงหุ้นธนาคารอื่น ๆ หลายแห่งก็ถูกหยุดการซื้อขายชั่วคราวเช่นกันอย่างธนาคาร First Republic, PacWest Bancorp และ Signature Bank

ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐแคลิฟอร์เนียได้สั่งปิดกิจการ Silicon Valley Bank และให้อยู่ภายใต้การควบคุมของ US Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) อย่างรวดเร็วในช่วงวันศุกร์ที่ผ่ามา โดย FDIC จะทำหน้าที่ชำระสินทรัพย์ของธนาคารเพื่อชำระคืนลูกค้า ซึ่งรวมถึงผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้

โดยซีเอ็นเอ็น รายงานว่า SVB ก็เป็นหนึ่งใน 20 ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของอเมริกา โดยมีสินทรัพย์รวม 209 พันล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปีที่แล้ว ตามข้อมูลของ FDIC และเป็นผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ที่สุดที่ล้มเหลวนับตั้งแต่ Washington Mutual ล่มสลายในปี 2551

และล่าสุด (เช้าวันที่ 11 มีนาคม 2566) ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า มีข่าวตื่นเต้นในวงการธนาคาร เมื่อ ”SiliconValleyBank” ธนาคารชื่อดังย่าน Silicon Valley ที่เป็นธนาคารหลักของ venture capital และสตาร์ตอัพหลายแห่ง ออกมาบอกนักลงทุนว่าไตรมาสก่อน ได้ขายพันธบัตรไป 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จนทำให้เกิดผลขาดทุนจากการขายตราสารหนี้ไป 1.8 พันล้านเหรียญ และต้องขายหุ้นเพิ่มทุน 2.25 พันล้านเหรียญ

เรื่องนี้ทำให้นักลงทุนตกใจ ส่งผลกระทบให้หุ้นธนาคารเอสวีบี ร่วงไปกว่า 60% เกือบทันที และหลังปิดตลาดลงไปอีก 20% ขณะที่คนฝากเงินเริ่มหวั่นไหวแห่กันถอนเงิน

และล่าสุดถูกทางการเข้าควบคุมธนาคารเรียบร้อยแล้ว เรียกว่าปัญหาสองวันจบ

ดร.พิพัฒน์ ระบุว่า ที่น่าสนใจคือ Silicon Valley Bank เป็นธนาคารที่ได้ชื่อว่าค่อนข้างระมัดระวังในการบริหาร มีสินทรัพย์สภาพคล่องอยู่ค่อนข้างมาก ครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ เช่นพันธบัตรรัฐบาล หรือ mortgage backed securities มีเงินสินเชื่อแค่หนึ่งในสาม

ขณะที่ NPL หรือหนี้เสียค่อนข้างต่ำมาก (ต่ำกว่า 1%) และปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากคุณภาพสินทรัพย์แบบปัญหาธนาคารอื่น ๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิด จากการที่เงินฝากเริ่มลดลงหรือโตช้า เพราะ venture capital ทั้งหลายเริ่ม raise เงินยากขึ้น และกระแสเงินสดของ VC และบริษัท startup ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารเริ่มมีน้อยลง เพราะ #cashburn

จนเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง จนต้องเริ่มขายสินทรัพย์สภาพคล่อง เช่น ตราสารหนี้ออกมา และปัญหาใหญ่ อยู่ที่เจ้าตราสารหนี้เหล่านี้ ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

เพราะมูลค่าหรือราคาของตราสารหนี้แปรผกผันกับอัตราผลตอบแทน (yield)

ทั้งนี้ ดร.พิพัฒน์ อธิบายภาพที่เกิดขึ้นว่า ถ้าพันธบัตรที่ออกมาเมื่อสองปีก่อน ให้ดอกเบี้ยแค่ 1% ที่ราคาหน้าตั๋ว 100 บาท เมื่อระดับอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นไปที่ 5% พันธบัตรที่ออกมาเมื่อสองปีก่อนย่อมไม่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับพันธบัตรที่เพิ่งออกมา ก็ทำให้ราคาตลาดก็ต้องปรับลดลงต่ำกว่า 100 บาทแน่ ๆ

โดยหลักการทางบัญชีแล้ว ธนาคารที่ถือตราสารหนี้เพื่อการลงทุนระยะยาว จะไม่บันทึกการปรับลดลงของมูลค่าตราสารหนี้จากการปรับผลตอบแทน เป็นการขาดทุนผ่าน income statement แต่จะเก็บไว้เป็น unrealized loss แทน

เพราะถ้าถือพันธบัตรพวกนี้ไปจนครบกำหนดอายุของตราสาร มูลค่าก็จะกลับไปที่ราคา par การขาดทุนนี้ก็จะค่อนๆหายไปเอง

แต่ปัญหาจะบังเกิด เมื่อธนาคารต้องขายตราสารหนี้พวกนี้ออกมาในเวลาที่ยังขาดทุนอยู่ ทำให้ต้องบันทึกการขาดทุนผ่าน income statement และอัตราส่วนทุนของธนาคาร ก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย จนทำให้ธนาคารต้องเร่งเพิ่มทุนอย่างที่เห็น

และสิ่งที่เกิดขึ้นก็มีคนเริ่มถามว่า “ปัญหาแบบนี้จะเกิดขึ้นกับธนาคารอื่นๆอีกหรือไม่” และข้อมูลที่เห็นคือธนาคารในสหรัฐทั้งกลุ่มมี unrealized loss สูงมากถึง 6 แสนล้านเหรียญ (ในขณะที่ทุนรวมของธนาคารมีมากกว่าสองล้านล้านเหรียญสหรัฐ) จนหุ้นในกลุ่มธนาคารร่วงกันระนาว

ดร.พิพัฒน์ ระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นปัญหาสภาพคล่องล้วน ๆ (จากภาวะตลาดที่บริษัท startups ไม่สามารถหาเงินได้คล่องอยากเดิม) จนเริ่มกระทบต่อสภาพคล่องของธนาคาร และถูกขยายผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนทางการเงิน และสภาพคล่องเริ่มโดนถอนออกไป

“ผมไม่คิดว่าประเด็นนี้จะกลายเป็นปัญหาเชิงระบบ และธนาคารใหญ่ ๆ คงไม่ได้มีปัญหาอะไรขนาดนี้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับธนาคารอื่น ๆ ที่มีวิกฤตศรัทธา แต่ก็ต้องจับตากันดี ๆ ครับ เพราะภาวะแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ หวังว่าจะไม่ลามไปหาคนอื่นอีกนะครับ”