จิตตะ เวลธ์ ชี้หากปล่อยเครดิตสวิสล่ม กระทบเศรษฐกิจโลก

CREDIT SUISSE
Photo by Fabrice COFFRINI / AFP

จิตตะ เวลธ์ ชี้ธนาคารเครดิตสวิสเป็นแบงก์ใหญ่ หากปล่อยให้ล้ม ย่อมกระทบเศรษฐกิจโลก เชื่อหากภาครัฐช่วยสร้างความมั่นใจผู้ฝาก จะรักษาเสถียรภาพระบบธนาคารได้ ขณะที่สถานะการเงินยังแกร่ง ฐานทุนอยู่ระดับสูง แนะจับตาแนวทางแก้ปัญหา

วันที่ 16 มีนาคม 2566 นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) สตาร์ตอัพสัญชาติไทยที่มีจำนวนกองทุนส่วนบุคคลภายใต้การบริหารมากที่สุดในประเทศ เปิดเผยว่า การล้มของธนาคารสหรัฐหลายแห่ง เริ่มส่งผลกระทบไปทั่วโลก

ล่าสุดเครดิตสวิส (Credit Suisse) ธนาคารชื่อดังระดับโลกจากสวิสถูกนักลงทุนเทขายหุ้น หุ้นร่วงกว่า 24.24% และร่วงกว่า 76.23% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ผู้ถือรายใหญ่ที่สุดอย่าง Saudi National Bank ปฏิเสธการเพิ่มทุน สร้างความกังวลให้นักลงทุนที่เพิ่งตื่นตระหนกกับการล้มคลืนของธนาคารในสหรัฐ

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์
ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ก่อนหน้านี้เครดิตสวิสประสบปัญหาทั้งเหตุการณ์ปล่อยให้บริษัทยาฟอกเงินในบัลแกเรีย พัวพันในคดีทุจริตในโมซัมบิก เรื่องอื้อฉาวเกียวกับการสอดแนมอดีตผู้บริหาร ปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลลูกค้า นอกจากนี้ เครดิตสวิสยังมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิในช่วงปี 2564-2565 ที่ผ่านมา

โดยขาดทุน 7,306 ล้านสวิสฟรังก์ และ 1,626 ล้านสวิสฟรังก์ ตามลำดับ และหากพิจารณางบการเงินของธนาคาร จะเห็นได้ว่าจำนวนเงินฝากลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในไตรมาส 4 ปี 2565 มีจำนวนเงินฝากอยู่ที่ 234,554 ล้านสวิสฟรังก์ ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าที่มีอยู่ 393,841 ล้านสวิสฟรังก์ หรือลดลงกว่า 40% เป็นอีกหนึ่งจุดที่ลดทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน

สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกนั้น หากปล่อยให้ล้มจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกแน่นอน เนื่องจากเครดิตสวิสเป็นธนาคารใหญ่ระดับโลก มีสินทรัพย์รวมทั้งหมด 530 พันล้านสวิสฟรังก์ หรือประมาณ 19.6 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะบริษัทระดับโลกและกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูงที่มีเงินฝากอยู่ในเครดิตสวิสเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางธนาคารกลางสวิสได้ออกมาให้ความมั่นใจกับนักลงทุนและผู้ฝากเงินแล้วว่า หากมีความจำเป็นธนาคารกลางจะเข้าไปช่วยเหลือเครดิตสวิสทันที

ขณะที่ฝากฝั่งสหรัฐเอง กระทรวงการคลังกำลังตรวจสอบว่าภาคธนาคารสหรัฐมีธุรกรรมกับเครดิตสวิสมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นและติดตามอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

ทั้งนี้ หากวัดผลด้วยค่าความเสี่ยงจาก Credit Default Swap (CDS) ปัจจุบันนักลงทุนมองว่าเครดิตสวิสมีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้สูง ซึ่งสถานการณ์คล้ายกับ Morgan Stanley ในปี 2008 แต่ Morgan Stanley ก็สามารถก้าวผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมาได้ และกลายมาเป็นธนาคารที่ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก ดังนั้น โอกาสในการก้าวพ้นความยากลำบากของเครดิตสวิสยังมีอยู่ แต่จะต้องต้องติดตามต่อไปว่าเหตุการณ์จะพัฒนาไปในลักษณะใด รวมถึงแนวทางการแก้ปัญหาของธนาคารเอง หรือหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามามีบทบาทอย่างไรด้วย

อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือเครดิตสวิสก็อาจจะไม่ใช้งานที่ง่ายนัก เพราะเป็นธนาคารใหญ่มีสินทรัพย์มาก ดังนั้น จะต้องใช้เงินทุนมากระดับหนึ่งในการเข้าไปช่วยอุ้ม

ซีอีโอ จิตตะ เวลธ์ประเมินอีกว่า หากพิจารณาตามอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เครดิตสวิสสามารถรักษาอัตราส่วนตามมาตรฐานสถาบันการเงินโลก โดยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CET1 ratio) 14.4% (ขั้นต่ำ 4.5%) เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1 ratio) 20.3% (ขั้นต่ำ 6%) และมีอัตราส่วนเงินทุนโดยรวม (Total capital ratio) 20.5% (ขั้นต่ำ 8%) ดังนั้น หากธนาคารกลางเข้ามาให้ความมั่นใจกับผู้ฝากเงิน จะช่วยรักษาเสถียรภาพของธนาคารได้ ซึ่งในระหว่างนี้เครดิตสวิสจะต้องปรับโครงสร้างธนาคาร ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หรือขายแผนกที่ไม่ทำกำไรออกไป เพื่อสร้างรักษาความมั่นคงในระยะยาว

“ปัจจุบันต้องคงต้องติดตามต่อไปว่าเครดิตสวิสจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในการดำเนินธุรกิจอย่างไร และ ธนาคารกลางจะเข้ามาช่วยเหลือในลักษณะไหน รวมไปถึงผู้ฝากเงินจะยังคงมีความเชื่อมั่นต่อธนาคารหรือไม่” นายตราวุทธิ์กล่าว