จับทิศหุ้นไทย-จังหวะลงทุน อานิสงส์ “ยุบสภา” เลือกตั้งใหม่

หุ้น เลือกตั้ง

การเมืองไทยขณะนี้เข้าสู่โหมด “ยุบสภา” เพื่อ “เลือกตั้งใหม่” แล้ว หลังพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยปกติแล้วเมื่อมีการยุบสภา ตลาดหุ้นจะตอบรับในเชิงบวก แต่รอบนี้เนื่องจากปัจจัยลบภายนอกที่รุมเร้าทำให้ภาพดัชนีหุ้นไทยในวันยุบสภาออกมาไม่ดีนัก ขณะที่มองไปในระยะต่อไปที่ทุกพรรคคงโหมนโยบายหาเสียงกันมากขึ้น และเม็ดเงินที่สะพัดในช่วงเลือกตั้ง น่าจะส่งผลในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นได้

5 เซ็กเตอร์รับปัจจัยบวกเลือกตั้ง

โดย “ภราดร เตียรณปราโมทย์” รองผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า นโยบายหาเสียงเลือกตั้งแต่ละพรรคการเมือง ส่วนใหญ่ที่ประกาศออกมาในตอนนี้เป็นเรื่องแก้ปัญหาปากท้องประชาชน อาทิ พรรคเพื่อไทย จะขึ้นค่าแรง 600 บาท ขณะที่พรรคก้าวไกล จะขึ้นค่าแรงทุกปี เริ่มต้นปีแรก 450 บาท

ด้านพรรคพลังประชารัฐ จะเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาท พรรคภูมิใจไทย มีพักชำระหนี้ 3 ปี พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศให้เงินช่วยเหลือชาวนาครัวเรือนละ 30,000 บาท และพรรครวมไทยสร้างชาติ จะเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการพลัส 1,000 บาท รวมถึงทำโครงการคนละครึ่ง, เราเที่ยวด้วยกัน ภาค 2 ต่อ

“จากนโยบายมุ่งเน้นไปที่การช่วยปากท้องของประชาชน คาดว่า 5 กลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์และเป็นกระแส ไม่ว่าพรรคไหนจะมีคะแนนนิยมมากขึ้นต่อจากนี้ คือ 1.ค้าปลีก 2.การเงิน 3.ธนาคารพาณิชย์ 4.สื่อ และ 5.อาหาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะเด้งแรง หลังจากเผชิญสถานการณ์โควิด-19 มานาน”

นอกจากนี้ เริ่มเห็นหลายพรรคหันมาส่งเสริมพลังงานสะอาดมากขึ้น อาทิ พรรคเพื่อไทย ที่ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ในครัวเรือน พรรคภูมิใจไทย ชูมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าราคาพิเศษ พรรคก้าวไกล ชูนโยบายรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด

“กลุ่มพลังงานสะอาดและอีวี อาจจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในระยะถัดไป รวมถึงทุกพรรคเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีและใช้ซอฟต์พาวเวอร์มากขึ้นด้วย (ดูตาราง) ทั้งนี้ จากนี้คงต้องรอดูนโยบายใหม่ ๆ หลังจากที่มีการยุบสภาไปแล้วด้วย โดยเฉพาะในเดือน เม.ย. 2566 ที่คาดว่าแต่ละพรรคน่าจะมีหมัดเด็ดด้านนโยบายต่าง ๆ ออกมาอีก ซึ่งอาจจะไปชี้วัดหุ้นรายตัวที่จะได้ประโยชน์ได้”

ตร.หุ้นเด่น

คาดหวังฟันด์โฟลว์ไหลเข้า

“ภราดร” กล่าวอีกว่า ประเมินว่า หลังจากนี้จะเป็นบรรยากาศที่ดีต่อ SET Index ถ้าหลังจากยุบสภาไปแล้ว การเมืองยังค่อนข้างมีเสถียรภาพ คือไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เกิดความรุนแรง เชื่อว่าหุ้นไทยน่าจะดูแข็งแรงมากขึ้น เพราะโดยปกติเวลาบรรยากาศการเมืองดีขึ้น ฟันด์โฟลว์มีโอกาสจะชะลอไหลออก หรือไหลกลับเข้ามาได้ ส่วนผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่อฟันด์โฟลว์ในตลาดหุ้นไทย มองว่าฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลออกน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ

สำหรับความเสี่ยงการลงทุน หากมีการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป จะเป็นกระแสเชิงลบได้ ต้องดูว่าจะอยู่ในกรอบเวลาเดิมหรือไม่ (ระหว่างวันที่ 7, 14, 20 พ.ค. 2566) และคงต้องเลือกลงทุนหุ้นรายตัว เพราะอาจจะถูกเก็งกำไรกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว

“จากประเด็นการเลือกตั้งไทย เรามอง SET Index อยู่ในโซนระดับ 1,520 จุด ค่อนข้างน่าสะสมซื้อหุ้น ในมุมมูลค่าหุ้น (valuation) ไม่รวมปัจจัยกดดันภายนอก ที่อาจเป็นดาวน์ไซด์ส่วนเพิ่ม”

ปัจจัยภายนอกกดดัน SET หนัก

ขณะที่ “สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตามสถิติย้อนหลัง 3 เดือนก่อนเลือกตั้ง 5 ครั้ง ในช่วงเวลา 22 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 4-5% แต่คาดว่ารอบนี้ไม่น่าถึงขนาดนั้น จากปัจจัยกดดันภายนอกที่ไม่เอื้อให้ปรับตัวขึ้นได้มาก

อย่างไรก็ตาม อีกสถิติที่ค่อนข้างน่าสนใจ คือ นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่มักจะไม่ซื้อหุ้นไทย และมีสถานะในการขายทำกำไร SET Index ก่อนการเลือกตั้งกว่า 4 ครั้ง ในช่วงเวลา 22 ปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นค่อยกลับเข้ามาซื้อ โดยจากนโยบายหาเสียงเลือกตั้งรอบนี้ส่วนใหญ่เพื่อปากท้องประชาชน เช่น เพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งสองอย่างนี้อาจจะเป็นบวกต่อกลุ่มสินเชื่อผู้บริโภคได้ แต่อาจไม่ได้ช่วยทำให้โดดเด่นนัก

บทเรียนอดีตหาเสียงแต่ทำไม่ได้

“เพราะว่าหลาย ๆ นโยบายหาเสียง แต่ทำจริงไม่ได้ ซึ่งเราเห็นเยอะในอดีต ส่วนนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาดที่มากันทุกพรรค แต่เราคาดว่าจะยังไม่ส่งผลบวกต่อเซนติเมนต์ในกลุ่มหุ้นแบตเตอรี่หรืออีวี เพราะอาจเป็นภาพที่ยังไกลอยู่ ดังนั้น เราไม่ได้ให้น้ำหนักเรื่องยุบสภาเลย เพราะเรารู้กันมานานมากอยู่แล้ว และไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ และไม่ได้ส่งผลให้อะไรบวกขึ้นมาด้วย”

แนะรอจังหวะตลาดปรับฐาน

ด้าน “ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า หนึ่งในจุดเด่นหุ้นไทย คือการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีนโยบายใหม่ ๆ และ แนวโน้มการเติบโตใหม่ ๆ ซึ่งถ้านักลงทุนอยากลงทุน อาจไม่ต้องรีบ รอจังหวะตลาดปรับฐาน แล้วก็รอดูผลของการเลือกตั้งก่อนก็ได้ ถ้าเริ่มเห็นความสงบหลังเลือกตั้ง ค่อยลงทุนก็ได้

“ดัชนี SET Index แนวรับระดับ 1,500 ต้น ๆ ผมเชื่อว่ายืนได้ โอกาสลงต่อไม่เยอะมากแล้ว ยกเว้นมีความเสี่ยงเกิดขึ้นและทำให้พื้นฐานการทำกำไรเปลี่ยนไป ปัญหาจริง ๆ รอบนี้คือการกลับขึ้นไปข้างบน ซึ่งมองว่าที่ระดับ 1,600-1,700 จุด โดยบริเวณ 1,700 จุด อาจจะต้องมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามา ซึ่งต้องไปรอหลังเลือกตั้ง ดังนั้น ถ้ามองกรอบระยะสั้นช่วงแรกบริเวณ 1,550-1,650 จุดน่าจะได้ จากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามามาก”

แม้จะเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง แต่คาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงผันผวน จากปัจจัยภายนอก และคงต้องรอดูหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่ด้วย