ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชำแหละนโยบาย “เช็คช่วยชาติ” ถึง เราเที่ยวด้วยกัน”

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แจงนโยบายหาเสียงแต่ละพรรคการเมือง ยังต้องรอผลเลือกตั้งก่อนข้อสรุปสุดท้ายทำได้หรือไม่ได้ รวมถึงต้องคำนึงถึง “แหล่งเงิน-ฐานะการเงินการคลัง” พร้อมยกตัวอย่าง 12 มาตรการในอดีตตั้งแต่ “เช็คช่วยชาติ” ถึง “คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน”

วันที่ 11 เมษายน 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทความ เรื่อง “มาตรการการคลังผ่านเงินโอน” โดยชี้ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงินโอน หรือเงินให้เปล่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการคลังที่ภาครัฐใช้แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาถูกนำมาใช้ในกรณีที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างมากจากปัจจัยภายนอก เช่น วิกฤตเศรษฐกิจโลก วิกฤตโควิด เป็นต้น รวมถึงใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเฉพาะของกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ผ่านมาที่ได้ดำเนินการในรูปแบบเงินโอน หรือเงินให้เปล่าในลักษณะต่าง ๆ ตามปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญ รวมถึงเหตุผลและความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

1.เช็คช่วยชาติ (ตั้งแต่ 26 มี.ค. 2552)

ออกมาเพื่อเป็นการรับกับสภาวะเศรษฐกิจไทยที่หดตัว เนื่องจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปี 2551

– ให้ความช่วยเหลือแก่บุคลากรภาครัฐและผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ให้ได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000 บาท/คน เป้าหมายจำนวน 9.7 ล้านคน โดยจ่ายผ่าน “เช็คช่วยชาติ”

– วงเงินทั้งสิ้น 19,400 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

2.เยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม 2554 (ปี 2554)

ออกมาเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมปี 2554

– ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมครัวเรือนละ 5,000 บาท จำนวน 174,383 ครัวเรือน ใน 44 จังหวัด

– วงเงินทั้งสิ้น 871.91 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

3.เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย (ปี 2557)

ออกมาเพื่อชดเชยผลการขาดทุนในช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำมาก จนต่ำกว่าต้นทุน ของชาวนาผู้ปลูกข้าว โดยมุ่งให้ประโยชน์แก่ชาวนาที่มีฐานะยากจนเป็นสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยหดตัวในครึ่งปีแรกปี 2557

– ให้เงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท แก่ชาวนา ซึ่งมีที่ดินทำกินไม่เกิน 15 ไร่ และชาวนาที่มีที่ดินทำกินเกิน 15 ไร่ให้ช่วยเหลือครอบครัวละ 15,000 บาท จำนวน 3.49 ล้านครัวเรือน

– วงเงินทั้งสิ้น 40,000 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส.ตั้งวงเงินเพื่อการนี้ไม่เกิน 45,000 ล้านบาท และขออนุมัติงบประมาณชดใช้ตามจ่ายจริงในปีถัดไปพร้อมดอกเบี้ย

 4.กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม (ปี 2560-2566)

ออกมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนในระดับฐานรากและกลุ่มเปราะบาง

-ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย (ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ) เช่น การให้วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 200-300 บาท/คน/เดือน ค่าโดยสารรถสาธารณะ 500 บาท/เดือน โดยงบประมาณเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 40,000 ล้านบาท

-วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 333,229 ล้านบาท (เฉลี่ยงบประมาณ 55,000 ล้านบาท/ปี) โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี ภายใต้กองทุนประชารัฐฯ

5.เพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (เดือน ต.ค. 2563-ต.ค. 2565)

ออกมาเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด

– เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเกือบ 14 ล้านคน คนละ 200-500 บาท/เดือน โดยมีทั้งหมด 5 เฟส วงเงินขึ้นอยู่กับแต่ละเฟส

-วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 71,787 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ปี 2563 และ 2564

6.ช่วยเหลือค่าครองชีพผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (เดือน ม.ค. 2566)

ออกมาเพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง

– เพิ่มวงเงินค่าซื้ออุปโภคบริโภคที่จำเป็นในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 200 บาท/คน เป็นระยะเวลา 1 เดือน ประจำเดือนมกราคม 2566

-วงเงินทั้งสิ้น 2,644 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

7.ชิมช้อปใช้ (27 ก.ย. 2562-31 ม.ค. 2563)

ออกมาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ และสนับสนุนการใช้จ่ายผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet)

-ให้สิทธิประโยชน์แก่ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้น จำนวนไม่เกิน 15 ล้านคน ได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้จ่ายผ่านแอปเป๋าตัง กับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการและติดตั้งแอปถุงเงิน

-ได้รับสิทธิผ่านการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่องที่ 1 (เงินสนับสนุนจากภาครัฐ 1,000 บาท) และการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่องที่ 2 (ประชาชนเติมเงินเพื่อใช้จ่ายและได้รับเงินชดเชยจากภาครัฐร้อยละ 15 หรือ 20 ของยอดใช้จ่ายจริง)

-วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 21,000 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563

 8.เราไม่ทิ้งกัน (24 มี.ค.-30 มิ.ย. 2563)

ออกมาเพื่อช่วยเหลือเยียวยาให้กับลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการถูกสั่งปิดเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ

-ให้เงินชดเชยกลุ่มอาชีพอิสระจำนวน 16 ล้านคน และกลุ่มเกษตรกร 10 ล้านคน รวม 26 ล้านคน คนละ 5,000 บาท/เดือน รวมคนละ 15,000 บาท ต่อมาเพิ่มเติมกลุ่มเก็บตกจำนวน 7.9 ล้านคน คนละ 1,000 บาท/เดือน รวมคนละ 3,000 บาท

-วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 413,839 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ปี 2563

9.เราชนะ (เดือน ก.พ.-31 พ.ค. 2564 และถึง 30 มิ.ย. 2564 สำหรับรอบเพิ่มเติม)

ออกมาเพื่อให้ความช่วยเหลือด้วยการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

-ให้การสนับสนุนวงเงินช่วยเหลือให้แก่ประชาชนประมาณ 31.1 ล้านคน วงเงินไม่เกิน 7,000 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน และรอบเพิ่มเติมอีก 32.9 ล้านคน ได้รับเพิ่มอีก 2,000 บาท

-วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 277,200 ล้านบาท โดยใช้ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ 2563

 10.คนละครึ่ง (เดือน ต.ค. 2563-ต.ค. 2565)

เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ด้วยการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ เป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศทั้งระบบหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด

-ภาครัฐร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการที่กำหนด ในอัตราร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน

-เฟส 1 และ 2 ไม่เกิน 3,500 บาท/คน จำนวน 15 ล้านคน (งบประมาณ 52,500 ล้านบาท)

-เฟส 3 ไม่เกิน 3,000 บาท/คน จำนวน 28 ล้านคน (งบประมาณ 84,000 ล้านบาท)

-เฟส 4 ไม่เกิน 1,200 บาท/คน จำนวน 29 ล้านคน (งบประมาณ 34,800 ล้านบาท)

-เฟส 5 ไม่เกิน 800 บาท/คน จำนวน 26.5 ล้านคน (งบประมาณ 21,200 ล้านบาท)

-วงเงินทั้งสิ้น 192,500 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ปี 2563 และ 2564

11.เราเที่ยวด้วยกัน (เดือน ก.ค. 2563-เม.ย. 2566)

เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนผ่านการท่องเทียวภายในประเทศ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด

-ภาครัฐสนับสนุนส่วนลดค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว รัฐบาลจะสนับสนุนคูปองอาหาร/ท่องเที่ยวมูลค่า 600 บาทต่อห้องต่อคืน ในลักษณะ e-voucher โดยประชาชนชำระ 60% และรัฐบาลสนับสนุนอีก 40% ผ่านการตัดเงินจากคูปอง

-วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 7,236 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ปี 2563 และ 2564

12.เยียวยาน้ำท่วม 2565 (เริ่มจ่ายงวดแรก 20 ม.ค. 2566)

เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นแก่ครอบครัวผู้ประสบอุทกภัยปี 2565 เป็นกรณีพิเศษ

– ให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2565 จำนวน 1,046,460 ครัวเรือนที่อยู่ในพื้นที่ กทม. และ 66 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ในวงเงิน 5,000-9,000 บาท/ครัวเรือน

-วงเงินทั้งสิ้น 6,258.54 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่แต่ละพรรคการเมืองประกาศออกมาเพื่อใช้หาเสียงในการเลือกตั้งนั้น ท้ายที่สุดแล้วจะถูกนำไปดำเนินการหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาล ในขณะที่ผลต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการโอนเงินยังต้องพิจารณา ทั้งจำนวนเงินโอนต่อหัว เงื่อนไขอื่น ๆ ของมาตรการ แหล่งเงินที่จะนำมาใช้ดำเนินมาตรการดังกล่าว รวมถึงผลต่อฐานะการคลังของประเทศ

โครงการ/มาตรการ รายละเอียด/วงเงิน ช่วงเวลาดำเนินโครงการ เหตุผลและความจำเป็น
เช็คช่วยชาติ – ให้ความช่วยเหลือแก่บุคลากรภาครัฐและผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ให้ได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000 บาท/คน เป้าหมายจำนวน 9.7 ล้านคน โดยจ่ายผ่าน “เช็คช่วยชาติ”

– วงเงินทั้งสิ้น 19,400 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 52 เพื่อเป็นการรับกับสภาวะเศรษฐกิจไทยที่หดตัว เนื่องจากปัญหาวิกฤต เศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2551
เยียวยาผู้ประสบภัย

น้ำท่วม 2554

– ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมครัวเรือนละ 5,000 บาท จำนวน 174,383 ครัวเรือน ใน 44 จังหวัด

– วงเงินทั้งสิ้น 871.91 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

2554 เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมปี 2554
เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย – ให้เงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท แก่ชาวนา ซึ่งมีที่ดินทำกินไม่เกิน 15 ไร่ และชาวนาที่มีที่ดินทำกินเกิน 15 ไร่ให้ช่วยเหลือครอบครัวละ 15,000 บาท จำนวน 3.49 ล้านครัวเรือน

– วงเงินทั้งสิ้น 40,000 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส.ตั้งวงเงินเพื่อการนี้ไม่เกิน 45,000 ล้านบาท และขออนุมัติงบประมาณชดใช้ตามจ่ายจริงในปีถัดไปพร้อมดอกเบี้ย

2557 เพื่อชดเชยผลการขาดทุนในช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำมากจนต่ำกว่าต้นทุน ของชาวนาผู้ปลูกข้าวโดยมุ่งให้ประโยชน์แก่ชาวนาที่มีฐานะยากจนเป็นสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยหดตัวในครึ่งปีแรกปี 2557
กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม*

 

*เดิมคือ กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก

–   ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย (ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ) เช่น การให้วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 200-300 บาท/คน/เดือน ค่าโดยสารรถสาธารณะ 500 บาท/เดือน โดยงบประมาณเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 40,000 ล้านบาท

–   วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 333,229 ล้านบาท  (เฉลี่ยงบประมาณ 55,000 ล้านบาท/ปี) โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี ภายใต้กองทุนประชารัฐฯ

 

2560-2566 เพื่อช่วยเหลือประชาชนในระดับฐานรากและกลุ่มเปราะบาง
เพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ – เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเกือบ 14 ล้านคน คนละ 200-500 บาท/เดือน โดยมีทั้งหมด 5 เฟส วงเงินขึ้นอยู่กับแต่ละเฟส

–   วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 71,787 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ปี 2563 และ 2564

เดือน ต.ค. 63 –

ต.ค. 65

 

เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด
ช่วยเหลือค่าครองชีพผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ – เพิ่มวงเงินค่าซื้ออุปโภคบริโภคที่จำเป็นในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 200 บาท/คน เป็นระยะเวลา 1 เดือน ประจำเดือนมกราคม 2566

– วงเงินทั้งสิ้น 2,644 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

เดือน ม.ค. 66 เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง
ชิมช้อปใช้ –   ให้สิทธิประโยชน์แก่ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นจำนวนไม่เกิน 15 ล้านคนได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้จ่ายผ่าน แอปฯ เป๋าตัง กับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการและติดตั้งแอปฯ ถุงเงิน

–   ได้รับสิทธิผ่านการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่องที่ 1 (เงินสนับสนุนจากภาครัฐ 1,000 บาท) และการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่องที่ 2 (ประชาชนเติมเงินเพื่อใช้จ่ายและได้รับเงินชดเชยจากภาครัฐร้อยละ 15 หรือ 20 ของยอดใช้จ่ายจริง)

–   วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 21,000 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563

วันที่ 27 ก.ย. 62 – 31 ม.ค.63 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศและสนับสนุนการใช้จ่ายผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ
(g-Wallet)
เราไม่ทิ้งกัน –     ให้เงินชดเชยกลุ่มอาชีพอิสระจำนวน 16 ล้านคน และกลุ่มเกษตรกร 10 ล้านคน รวม 26 ล้านคน คนละ 5,000 บาท/เดือน รวมคนละ 15,000 บาท ต่อมาเพิ่มเติมกลุ่มเก็บตกจำนวน 7.9 ล้านคน คนละ 1,000 บาท/เดือน รวมคนละ 3,000 บาท

–     วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 413,839 ล้านบาท  โดยแบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ปี 2563

วันที่ 24 มี.ค.-30 มิ.ย. 63 เพื่อช่วยเหลือเยียวยาให้กับลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการถูกสั่งปิดเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ
เราชนะ –   ให้การสนับสนุนวงเงินช่วยเหลือให้แก่ประชาชนประมาณ 31.1 ล้านคน วงเงินไม่เกิน 7,000 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน และรอบเพิ่มเติมอีก 32.9 ล้านคน ได้รับเพิ่มอีก 2,000 บาท

–   วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 277,200 ล้านบาท โดยใช้ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ 2563

เดือน ก.พ.-31 พ.ค. 64 และถึง 30 มิ.ย. 64 สำหรับรอบเพิ่มเติม เพื่อให้ความช่วยเหลือด้วยการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
คนละครึ่ง –  ภาครัฐร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการที่กำหนด ในอัตราร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน

–  เฟส 1 และ 2 ไม่เกิน 3,500 บาท/คน จำนวน 15 ล้านคน (งบประมาณ 52,500 ล้านบาท)

–  เฟส 3 ไม่เกิน 3,000 บาท/คน จำนวน 28 ล้านคน (งบประมาณ 84,000 ล้านบาท)

–  เฟส 4 ไม่เกิน 1,200 บาท/คน จำนวน 29 ล้านคน (งบประมาณ 34,800 ล้านบาท)

–  เฟส 5 ไม่เกิน 800 บาท/คน จำนวน 26.5 ล้านคน (งบประมาณ 21,200 ล้านบาท)

–  วงเงินทั้งสิ้น 192,500 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ปี 2563 และ 2564

เดือน ต.ค. 63 –

ต.ค. 65

 

เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ด้วยการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ เป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศทั้งระบบหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด
เราเที่ยวด้วยกัน –  ภาครัฐสนับสนุนส่วนลดค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวรัฐบาลจะสนับสนุนคูปองอาหาร/ท่องเที่ยวมูลค่า 600 บาทต่อห้องต่อคืน ในลักษณะ e-voucher โดยประชาชนชำระ 60% และรัฐบาลสนับสนุนอีก 40% ผ่านการตัดเงินจากคูปอง

–  วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 7,236* ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ปี 2563 และ 2564

*คำนวณจากผู้ได้รับสิทธิทั้ง 5 เฟส ประมาณ 12.06 ล้านสิทธิ ได้คูปองสิทธิละ 600 บาท

เดือน ก.ค. 63-เม.ย. 66 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนผ่านการท่องเทียวภายในประเทศ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด
เยียวยาน้ำท่วม 2565 – ให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2565 จำนวน 1,046,460 ครัวเรือนที่อยู่ในพื้นที่ กทม. และ 66 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ในวงเงิน 5,000-9,000 บาท/ครัวเรือน

-วงเงินทั้งสิ้น 6,258.54 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

เริ่มจ่ายงวดแรกวันที่ 20 ม.ค. 66 เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นแก่ครอบครัวผู้ประสบอุทกภัยปี 2565 เป็นกรณีพิเศษ