กอบศักดิ์ ชงรัฐบาลใหม่ ปัดฝุ่น LTF ไม่เก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า 1 ปี

กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก กอบศักดิ์ ภูตระกูล

กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เตรียมหารือรัฐบาลใหม่ ปัดฝุ่นกองทุน LTF กลับมาลงทุนอีกครั้ง เสนอรัฐไม่เก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า 1 ปี หวังกระตุ้นภาคท่องเที่ยว

วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังพิจารณารวบรวมข้อเสนอและมาตรการที่เหมาะสม เพื่อเข้าไปหารือต่อรัฐบาลใหม่

โดยเฉพาะแผนการนำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมาลงทุนอีกครั้ง หรือจะเป็นลักษณะรูปแบบกองทุนใหม่ เนื่องจากช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่ากองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่กองทุน LTF สามารถช่วยสร้างเม็ดเงิน มูลค่าการลงทุน และการเก็บออมเงินของประชาชนได้ดีกว่าพอสมควร

จึงอยากจะหาช่องทางส่งเสริมให้ประชาชนเก็บออมเงินได้มากขึ้น เพราะความน่ากังวลใจขณะนี้คือประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่คนไทยมีเงินออมไม่พอ จึงจะนำเรื่องนี้เข้าไปหารือกับรัฐบาลใหม่ต่อไป เพราะถ้าคนไทยออมเงินไม่พอ สุดท้ายแล้วก็จะเป็นภาระให้กับรัฐบาลอยู่ดี

และมีข้อเสนอเพื่อช่วยกระตุ้นภาคท่องเที่ยว นั่นคืออยากให้รัฐบาลปลดล็อกการเข้ามาของนักท่องเที่ยวทั้งหมด แม้กระทั่งไม่เก็บค่าวีซ่า 1 ปี เพราะได้ก็ไม่มาก เพื่อแลกกับการมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามามาก โดยลดขั้นตอนการทำวีซ่าให้สะดวกที่สุดโดยเฉพาะกลุ่มทัวร์จีนให้เข้ามาได้ง่าย ๆ โดยปีนี้ประเมิน GDP ไทยจะขยายตัวได้ 3% ภาคส่งออกไทยหากส่งไปอเมริกาหรือยุโรปไม่ได้ การส่งออกไปจีนบางส่วนก็คงช่วยได้เหมือนกัน

ส่วนประเด็นการจะเก็บภาษีออกนอกประเทศนั้น เนื่องจากรัฐบาลพยายามเก็บภาษีให้ได้ทุกวิถีทาง เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ แต่ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวคงเป็นแค่กิมมิคเท่านั้น เพราะหากเป็นการจัดเก็บเฉพาะคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ ก็คาดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวของประเทศไทย แต่กังวลใจมากกว่าคือการจัดเก็บค่าวีซ่า จึงอยากให้ลดค่าวีซ่าไปเลย 1 ปี เพื่อให้ต่างชาติเลือกมาประเทศไทย

ส่วนการเก็บภาษีกำไรจากขายหุ้นนั้น ยังคงยืนยันว่าตลาดทุนไทยสามารถช่วยสร้างภาษีให้รัฐบาลจากช่องทางอื่นได้อีกมาก เพราะหัวใจสำคัญของตลาดทุนไทยต้องมีสภาพคล่อง ดังนั้นเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามา ก็อยากจะทำงานร่วมกับรัฐบาลในการสร้างรายได้เพิ่มเติม

“ยกตัวอย่างปีนี้ มีบริษัทเข้าจดทะเบียนหรือเสนอขายหุ้นไอพีโอค่อนข้างมาก ดังนั้นหากสามารถนำบริษัทมาระดมทุนไอพีโอได้มากขึ้น ภาษีจากการทำบัญชีเดียว จากที่เคยจ่าย 1 ล้านบาท ก็ต้องจ่าย 3 ล้านบาท ซึ่งทำให้มีภาษีเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว ไม่นับที่จะโตต่อไปในอนาคต”

นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า ถ้าดูแนวโน้มเม็ดเงินที่ไหลเข้ามากองทุนรวมหุ้นไทยหายไปค่อนข้างมาก สังเกตได้ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนที่เข้ามาผลักดันตลาดหุ้นไทยไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลงกลายเป็นนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก ในขณะที่นักลงทุนสถาบันกลายเป็นแค่คนที่เข้ามาช่วยพยุง และเม็ดเงินที่พยุงก็ค่อนข้างจำกัด

โดยกองทุนรวมหุ้นไทย (ไม่ใช่ LTF, RMF SSF) มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ไหลลงต่อเนื่อง จากปี 2562 อยู่ที่เกือบ 3 แสนล้านบาท ล่าสุดสิ้นปี 2565 ลดลงเหลือ 2.3 แสนล้านบาท โดยเม็ดเงินเป็นการไหลออกเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา พูดง่าย ๆ หุ้นขึ้นหลังโควิด คนขายตลอดไม่มีเงินใหม่เข้ามา

ส่วนกองทุน LTF หมดอายุไปตั้งแต่ปี 2559 เม็ดเงินก็ไหลลงต่อเนื่อง โดยปี 2563 โฟลว์มีแรงขายอยู่เกือบ 2 หมื่นล้านบาท ปี 2564 มีแรงขายเกือบ 2 หมื่นล้านบาท และปี 2565 ขายไป 3 หมื่นล้านบาท ขนาดเงิน LTF เหลืออยู่ 3 แสนล้านบาท มากกว่ากองทุนหุ้นไทยอยู่ 7 หมื่นล้านบาท

ในอนาคตถ้าหุ้นไทยขึ้นต่อไปแถว ๆ บริเวณ 1,700-1,800 จุด ก็อาจจะเห็นแรงขายต่อ เพราะต้นทุนของคนส่วนใหญ่คงอยู่แถว ๆ 1,500-1,700 จุด

ส่วนกองทุน SSF มีเงินไหลเข้าแค่ 5 หมื่นล้านบาท เท่านั้นเอง และเงินไหลเข้านั้นไปอยู่ในหุ้นต่างประเทศเป็นหลักเลย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นโลก หุ้นจีน หุ้นสหรัฐ และหุ้นเวียดนาม เงินที่ไหลเข้าหุ้นไทยค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับเงินที่ไหลออกจากกองทุน LTF

ดังนั้นเชื่อว่าการผลักดันครั้งนี้สำหรับกองทุน LTF มีโอกาสกลับมาได้ เพราะย้อนกลับไปช่วงปี 2547 ที่เริ่มมีการตั้งกองทุน LTF ขึ้นมาจะเห็นได้ว่าในปีที่หุ้นตกหนัก ๆ เช่น ปี 2551 และปี 2561-2563 เป็นปีที่มีเงินไหลเข้า พูดง่ายๆ ว่าทำให้คนมีทางเลือกในการออมและเลือกที่จะเข้ามาซื้อหุ้นไทย