ส่องกำไร บจ.ไตรมาสแรก 5 เซ็กเตอร์โกยสูงสุดล้อเศรษฐกิจฟื้น

เศรษฐกิจฟื้น

ข้อมูลจาก SET SMART ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รายงานผลงานบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) งวดไตรมาส 1 ปี 2566 (ณ 26 พ.ค. 2566) จำนวน 859 บริษัท (SET+mai) พบว่ามีกำไรสุทธิรวมกัน 275,877 ล้านบาท เติบโต 70.9% เทียบไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) และเติบโต 14.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY)

โดยบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ SET จำนวน 659 บริษัท มีกำไรสุทธิ 273,842 ล้านบาท เติบโต 69.3% QOQ และเติบโต 14.6% YOY ขณะที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวน 200 บริษัท มีกำไรสุทธิ 2,035 ล้านบาท เติบโต 728% QOQ แต่ลดลง 30.5% YOY

กำไร บจ. Q1 ดีกว่าคาด

โดย “สุนทร ทองทิพย์” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมงบฯไตรมาส 1 ถือว่าออกมาดีกว่าที่กสิกรฯ และ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ 5-10% มีกำไรรวมกันอยู่ที่ 266,402 ล้านบาท เติบโต 13.6% YOY และเติบโต 57.4% QOQ

โดยกลุ่มที่เน้นการโตทางเศรษฐกิจ หรือการฟื้นตัวหลังโควิด อาทิ ธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก อุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงเรียนนานาชาติ และวัสดุก่อสร้าง ฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีทั้ง YOY และ QOQ ตามกำลังซื้อ

ส่วนเซ็กเตอร์ที่มีการชะลอตัวลง เช่น อสังหาริมทรัพย์ เพราะต้นทุนปรับขึ้น แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาขายได้ทัน ทำให้กดดันมาร์จิ้น แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะคลายตัวดีขึ้นได้

และเซ็กเตอร์ที่มีกำไรออกมาแย่กว่าคาด คือส่งออก ทั้งอาหารทะเล ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากลูกค้าผู้ประกอบการในต่างประเทศชะลอคำสั่งซื้อ เพราะดีมานด์ปลายทางของลูกค้า โดยเฉพาะในตะวันตกเริ่มชะลอตัวจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอ ทำให้ลูกค้ามีการลดสต๊อกและมีผลกระทบมาถึงโรงงานและราคาหุ้นกลุ่มนี้

5 เซ็กเตอร์ กำไรสูงสุด

“ภราดร เตียรณปราโมทย์” รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า กำไร บจ. งวดไตรมาส 1 ปี 2566 (ไม่รวม บมจ.การบินไทย) อยู่ที่ 2.67 แสนล้านบาท เติบโต 57.8% QOQ แต่ลดลง 8.1%YOY

“การเติบโต QOQ มาจากฐานต่ำ เพราะไตรมาส 4/2565 บจ. มีกำไรแค่ 1.69 แสนล้านบาท โดยกำไร บจ.ไตรมาส 1 ปีนี้ คิดเป็นสัดส่วน 24% ของประมาณกำไรทั้งปีที่เอเซียพลัสฯ คาดการณ์ไว้ที่ 1.12 ล้านล้านบาท เติบโต 12.6% YOY หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 91.8 บาทต่อหุ้น ประเมินเป้า SET Index สิ้นปีที่ 1,610 จุด ถือว่ายังมีความเป็นไปได้” ภราดรกล่าว

สำหรับ 5 เซ็กเตอร์ที่มีกำไรสูงสุดในไตรมาส 1 ปีนี้คือ 1.พลังงาน มีกำไรอยู่ที่ 8.5 หมื่นล้านบาท ฟื้นตัวกว่า 148% QOQ ด้วยราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น แต่ผลประกอบการ YOY ติดลบ เนื่องจากราคาพลังงานมีการปรับตัวลง แต่ภาพรวมถือว่าออกมาแย่น้อยกว่าคาด อย่างไรก็ตาม ภาพในปีนี้ราคาพลังงานที่ลงมาก็จะเป็นตัวกดดัน

2.ธนาคาร ยังเติบโตต่อเนื่อง มีกำไร 6.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% QOQ และเพิ่มขึ้น 14% YOY ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น

3.วัสดุก่อสร้าง มีกำไรกว่า 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,700% QOQ (จากฐานต่ำ) และเพิ่มขึ้น 51% YOY โดยหลัก ๆ มาจากเครือปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งเติบโตตามทิศทางสเปรดปิโตรเคมี

4.ธุรกิจพาณิชย์หรือคอมเมิร์ซ มีกำไร 1.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 14% YOY แต่ลดลง 5% QOQ จากผลของฤดูกาล

และ 5.อสังหาริมทรัพย์ มีกำไร 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% YOY แต่ลดลง 33% QOQ ทิศทางคล้ายธุรกิจคอมเมิร์ซที่ลดลงตามฤดูกาล

ตาราง 5 ซต.กำไรสูงสุด

“ด้วยภาพเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปีนี้ GDP ออกมาขยายตัว 2.7% YOY ทำให้ภาพมูลค่าของ GDP ไทยฟื้นขึ้นมาอยู่เหนือระดับก่อนโควิดแล้ว ประกอบกับไทยพึ่งพาภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก และได้แรงหนุนจากจีนเปิดประเทศ จึงน่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง

ขณะที่ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน เม.ย. 2566 อยู่ที่ 53.8 จุด สูงสุดในรอบกว่า 2 ปี สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังเป็นทิศทางขาขึ้น เชื่อว่าภาพรวมกำไร บจ.ช่วงที่เหลือของปีน่าจะมีโอกาสโตตามประมาณการได้” รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัสกล่าว

กำไร Q2 ส่อชะลอ ทั้ง QOQ-YOY

สำหรับแนวโน้มกำไร บจ.ไตรมาส 2 “ภราดร” กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 2 ตามปกติแล้วกำไรจะชะลอตัวลง เมื่อเทียบ QOQ และปีนี้อาจจะชะลอตัวเมื่อเทียบ YOY ด้วย เนื่องจากไตรมาส 2/2565 ฐานสูงผิดปกติมาก มีกำไรกว่า 3.5 แสนล้านบาท (ปกติกำไรจะอยู่ที่ 2-2.5 แสนล้านบาท) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลุ่มพลังงานได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันขยับขึ้นไปอยู่เฉลี่ย 110-120 เหรียญต่อบาร์เรล

“ไตรมาส 2 เซ็กเตอร์ที่จะมีกำไรโดดเด่นรับผลไฮซีซันก็คือ มีเดีย ปิโตรเคมี และเครื่องดื่ม ดังนั้น เก็งกำไรได้ในช่วงที่ราคาย่อตัวลง ส่วนภาพรวมกำไร บจ. เชื่อว่าแนวโน้มไตรมาส 3-4 จะเห็นฟื้นตัวดีขึ้นได้” รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัสกล่าว

ด้าน “สุนทร” กล่าวว่า กำไรไตรมาส 2 น่าจะออกมาใกล้เคียงหรือดีกว่าไตรมาสแรก โดยกลุ่ม domestic หรือธุรกิจในประเทศยังมีโมเมนตัมดี ตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว เม็ดเงินไหลลงสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเลือกตั้ง และคาดว่าน่าจะต่อเนื่อง

ประกอบกับภาคท่องเที่ยวที่ดีขึ้น โดยมีตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทยอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคนต่อเดือน ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนกลุ่มส่งออกแนวโน้มกำไรทรงตัว

“ประเมินกำไร บจ. ทั้งปี 1 ล้านล้านบาท บน EPS ปีนี้ 95 บาทต่อหุ้น และปีหน้า 106.5 บาทต่อหุ้น แต่หากตั้งรัฐบาลดีเลย์ EPS ปีหน้าโดนหั่นลงแน่ ๆ เพราะการดีเลย์ตั้งรัฐบาลและเบิกจ่ายงบประมาณ ไม่ใช่กระทบแค่เฉพาะลงทุนภาครัฐ แต่ลงทุนภาคเอกชนด้วย จึงต้องจับตาอีกที แต่ก็ลุ้นว่าให้ตั้งรัฐบาลได้ช่วงเดือน ส.ค.” สุนทรกล่าว

แนะเลี่ยงลงทุนหุ้นขนาดใหญ่

“สุนทร” กล่าวด้วยว่า ช่วงนี้ควรเลี่ยงลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ใน SET 50 ไปก่อน จนกระทั่งมีการตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ เพราะว่านักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นต่อเนื่อง

“อาจต้องหาหุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็กที่มีสตอรี่สนับสนุน กำไรเติบโต หรือเทิร์นอะราวนด์ จะช่วย performance ของพอร์ตไปได้ในปีนี้” ผู้อำนวยการ อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทยกล่าว