สลากดิจิทัลตอบโจทย์ จ่อดึง “มูลนิธิ-สมาคม” ขายบนเป๋าตัง

ลวรณ แสงสนิท

“สลากดิจิทัล” ที่ขายผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตังของธนาคารกรุงไทย เริ่มมาตั้งแต่งวดวันที่ 16 มิ.ย. 2565 ปัจจุบันดำเนินการมาถึงงวดวันที่ 16 มิ.ย. 2566 หรือครบรอบ 1 ปีแล้ว ซึ่งปริมาณสลากดิจิทัลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จาก 5 ล้านใบต่องวด เป็น 18.6 ล้านใบในปัจจุบัน และกำลังจะเพิ่มเป็น 20 ล้านใบ ไปจนถึง 25 ล้านใบต่อไปภายในปีนี้

ชี้สถิติ 1 ปี ประสบความสำเร็จ

ซึ่งจากสถิติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น “ลวรณ แสงสนิท” ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า สลากดิจิทัลถือว่าประสบความสำเร็จ เป็นทางเลือกให้กับประชาชน สามารถหาซื้อสลากราคา 80 บาทได้จริง ในปริมาณที่มากเพียงพอ โ

โดยตลอดระยะเวลา 1 ปี มีผู้ซื้อสลากดิจิทัลรวมกว่า 5,800,000 ราย มีสลากดิจิทัลที่จำหน่ายไปแล้วทั้งสิ้น 356.13 ล้านใบ คิดเป็นมูลค่า 28,489.12 ล้านบาท เป็นของผู้ค้าสลากรายย่อยจากทั่วประเทศ 38,741 ราย

ขณะที่มีผู้ถูกรางวัลสลากดิจิทัลแล้ว 1,135,099 ราย และมีสลากที่ถูกรางวัลแล้วรวม 5,045,409 ใบ คิดเป็นเงินรางวัล 17,092 ล้านบาท และมีผู้ถูกรางวัลที่ 1 รวมทั้งสิ้น 165 ราย โดยในงวดวันที่ 16 เม.ย. 2566 มีผู้ซื้อสลากดิจิทัลผ่านแอปเป๋าตัง ถูกรางวัลที่ 1 รายเดียวสูงสุดจำนวน 19 ใบ ได้รับเงินรางวัล 114 ล้านบาท

“จากจำนวนผู้ซื้อสลากดิจิทัลประมาณ 1,000,000 คนในงวดแรก ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาจนถึงเกือบ 2,000,000 คนในแต่ละงวด และในจำนวนนี้ จะมีคนใหม่เข้ามาเสมอ ประมาณ 200,000 คนต่องวด วันนี้สิ่งที่เราเห็นคือ จำนวนคนที่เข้าถึงสลาก 80 บาทเยอะขึ้น ในคอลเซ็นเตอร์ที่เคยมีการต่อว่าเข้ามาเรื่องสลากเกินราคา ก็เห็นชัดว่าลดลงไปเยอะ ราคาในตลาด ถ้าขายแพง ก็ขายยากขึ้น เพราะประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น”

ลุยเพิ่มสลากดิจิทัลตามแผน

“ลวรณ” กล่าวว่า ระยะต่อไป ในงวดวันที่ 1 ส.ค. 2566 นี้ จะเพิ่มปริมาณสลากดิจิทัลเป็น 20 ล้านใบ และภายในปีนี้ หากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบออกประกาศให้ดำเนินการสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบตัวเลข 6 หลัก (L6) ได้ ก็จะได้เห็นสลากดิจิทัลเพิ่มเป็นอย่างน้อย 25 ล้านใบ ซึ่งการเสนอ ครม. ไม่จำเป็นต้องรอ ครม.ชุดใหม่

“เดิมสำนักงานสลากฯ ตั้งเป้าไว้ถึง 30 ล้านใบ แต่การเพิ่มจำนวนไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นอยู่ที่ความพร้อมของ ecosystem มากกว่า ซึ่งเราต้องดูทั้งคนซื้อ คนขาย ต้องรักษาสมดุล ขึ้นอยู่กับความพร้อม”

โดยปริมาณสลากดิจิทัล 18.6 ล้านใบในปัจจุบัน สามารถจำหน่ายได้หมดภายใน 12 วันหลังเริ่มจำหน่าย แต่ต่อไปเมื่อสลากเพิ่มขึ้น การขายอาจจะหมดยากขึ้น

ดึงโควตาสลากเล่มเป็นดิจิทัล

“ประธานกรรมการสลาก” อธิบายว่า จำนวนสลากดิจิทัลที่จะเพิ่มขึ้นสู่ 25 ล้านใบในระยะต่อไปนั้น จะมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก จากกลุ่มผู้ซื้อ-จองล่วงหน้า ที่ปัจจุบันได้รับสลากคนละ 3 เล่มอยู่ หากเปลี่ยนมาเข้าเป็นตัวแทนในระบบสลากดิจิทัล จะเปิดช่องทางให้แจ้งความจำนง ซึ่งจะได้รับสลากดิจิทัลเป็น 5 เล่มต่องวดทันที

สอง เป็นส่วนโควตาของสมาคม หรือมูลนิธิต่าง ๆ ที่ได้รับอยู่ในปัจจุบัน จะเปิดให้องค์กรเหล่านี้สามารถเปลี่ยนจากสลากเล่มมาขายผ่านดิจิทัล ก็สามารถเปลี่ยนได้

“ข้อดี ก็คือ จะช่วยลดความเสี่ยง ว่าถ้าตรวจพบ สลากของท่านไปขายอยู่ในที่ที่ท่านไม่ได้ขายเอง ตามกติกา ซึ่งท่านมีความเสี่ยงจะถูกตัดโควตา โดยตอนนี้มีบางมูลนิธิได้คุยกับสำนักงานสลากฯแล้ว ว่าขอเปลี่ยนโควตาทั้งหมดมาอยู่บนสลากดิจิทัล เพราะจะไม่เกิดการขายเกินราคา บนโควตาของมูลนิธินั้น ซึ่งเราก็เชื่อว่าในอนาคตจะเปลี่ยนกันมากขึ้น”

สาม จะมาจากสลาก L6 ซึ่งจะช่วยให้การบริหารสลากดิจิทัลมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

เพิ่มฟีเจอร์ใหม่บนแอปเป๋าตัง

นอกจากนี้ “ประธานกรรมการสลาก” กล่าวด้วยว่า สำนักงานสลากฯ ได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ปรับฟีเจอร์ขายสลากดิจิทัลในแอปเป๋าตัง ให้ผู้ขายสามารถ “เร่ขาย” ได้ หรือมี “แผงลอตเตอรี่ดิจิทัล” ของตัวเอง สามารถนำไปเดินขายได้ จากปกติที่ผู้ซื้อจะเข้ามากดซื้อผ่านเป๋าตังกันเอง หรือหากมีลูกค้าประจำ ก็สามารถส่งเลขโปรดให้ลูกค้าได้

“ถ้าสลากเพิ่มเป็น 25-30 ล้านใบ ผมเชื่อว่าการแข่งขันในการขายลอตเตอรี่จะต้องเกิดขึ้น เราก็จะปรับฟีเจอร์ให้รองรับ”

นอกจากนี้ยังจะปรับปรุงหน้ากากในแอปเป๋าตัง โดยทำให้ง่ายมากขึ้นในการเข้าถึง คือเมื่อกดเข้าแอปเป๋าตัง ก็จะเจอฟังก์ชั่นซื้อสลากดิจิทัลได้ทันที

เป้าหมายสูงสุดดิจิทัล 100%

ทั้งนี้ ปัจจุบันสลากกินแบ่งรัฐบาล 100 ล้านใบต่องวด เป็นสลากดิจิทัลบนแอปเป๋าตัง 18.6 ล้านใบ คิดเป็นสัดส่วน 18.53% ของสลากทั้งหมด เป็นสลากที่ขายในโครงการจุดขายไม่เกิน 80 บาท อีกราว 2.5 ล้านใบ ที่เหลือเป็นระบบซื้อ-จองล่วงหน้า และระบบโควตา

“เป้าหมายที่เราตั้งไว้ ถือเป็นความท้าทาย คือ สิ้นปีนี้อยากให้มีสลากดิจิทัล 30 ล้านใบ สิ้นปี 2567 เป็น 40 ล้านใบ และสิ้นปี 2568 เป็น 50 ล้านใบ หรือครึ่งหนึ่งของสลากทั้งหมดต้องเป็นดิจิทัล” ประธานกรรมการสลากกล่าว