
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังเผชิญความท้าทาย ส่งออกที่ชะลอตัวหนัก แถมหนี้ภาคครัวเรือนที่ขยับสูงขึ้น ซ้ำยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง แน่นอนว่าย่อมกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
โอกาสนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “กฤษณ์ จันทโนทก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจแบงก์ช่วงที่เหลือของปีนี้
คาดจีดีพีโต 3.9%-ดอกเบี้ยพีก 2.5%
โดย “กฤษณ์” กล่าวว่า ไทยพาณิชย์คาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ที่ 3.9% จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงจากการส่งออกที่จะชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าจะเติบโตเพียง 0.5% และปัญหาเอลนีโญ
รวมถึงความเสี่ยงทางด้านการเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ปัจจัยเหล่านี้อาจจะกระทบเศรษฐกิจภาพใหญ่ได้
ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอีก โดยดอกเบี้ยสูงสุด (terminal rate) ในไตรมาส 3 นี้ จะอยู่ที่ 2.50% ซึ่งในส่วนของภาคธนาคาร เชื่อว่าทุกแบงก์พยายามจะตอบสนองนโยบายของ ธปท. แต่การส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยจะมากหรือน้อย
อาจจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ และมุมมองในอนาคตของฐานลูกค้าของแต่ละแบงก์ว่าจะสามารถรับความเสี่ยงของดอกเบี้ยได้มากน้อยแค่ไหน
“เราเองไม่ได้เป็นแบงก์ที่ส่งผ่านดอกเบี้ยเยอะที่สุด เราอยู่ในกลุ่มกลาง ๆ โดยเรารอดูเพื่อนแบงก์อื่น ๆ และ ธปท.ก่อนประกาศขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป หากพอร์ตเราไม่พร้อม เราก็ไม่ขึ้น แต่หากพอร์ตเราพร้อม เราจะขึ้นก็ได้ เราเอาทุกปัจจัยมาพิจารณา”
การเมืองต้องนิ่งฟื้นเชื่อมั่น
สำหรับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้น “กฤษณ์” กล่าวว่า ทุกคนอยากให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งหากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วยิ่งดี เพราะตลาดจะมีความเชื่อมั่น อย่างไรก็ดี นโยบายที่อยากเห็น ควรจะเป็นนโยบายการเงินและการคลังที่บูรณาการ โดยสามารถบริหารจัดการให้เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่อยากเห็นนโยบายที่ทำให้เศรษฐกิจดีเพียงไตรมาสเดียวแล้วจบ แล้วกลับมาลำบากอีก
“ถ้าได้รัฐบาลเร็วและคนส่วนใหญ่ยอมรับ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และนโยบายควรจะเป็นแบบทำอย่างไรให้คนไทยตกปลาเองได้ สำคัญมากกว่า ไม่มีนโยบายที่สุดท้ายแล้วทุกคนแฮปปี้ไตรมาสเดียว หลังจากนั้นกลับมาลำบากอีก ต้องทำให้คนไทยสามารถยืนบนลำแข้งตัวเองได้”
ครึ่งปีหลังสกรีนสินเชื่อเข้ม
สำหรับการดำเนินธุรกิจของไทยพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 “กฤษณ์” กล่าวว่า ธนาคารมีการปรับโมเดลการพิจารณาสินเชื่อใหม่ และเน้นดูแลหนี้เดิม โดยที่ผ่านมาได้มีการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ความเปราะบางและหนี้เสียภายใต้การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ความเสี่ยงยังมีอยู่ ธนาคารจึงเพิ่มความระมัดระวัง
“แบงก์จะพิจารณาสินเชื่อละเอียดมากขึ้น และปรับคุณสมบัติของเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยจะพิจารณาในกลุ่มอุตสาหกรรม หรือเซ็กเมนต์ที่อยู่ในทิศทางการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งการดูงบการเงินอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ แต่พิจารณาเพิ่มเติม เช่น การชำระเงินช่วงที่ผ่านมา การทำธุรกิจในปัจจุบันและเติบโตในอนาคต สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจหรือไม่
รวมถึงปัจจัยทางด้านราคา เป็นต้น ซึ่งเป็นการมองในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตของลูกค้าในการปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น อัตราการเติบโตของสินเชื่อ ในปีนี้จะไม่ได้เป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ เห็นการเติบโต low single digit”
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) พยายามบริหารจัดการให้อยู่ตามแผน แต่ยอมรับว่ามีความท้าทายมากขึ้น โดยหนี้เดิมธนาคารพยายามประคองลูกค้าที่อยู่ในโครงการมาตรการช่วยเหลือให้สามารถปรับตัวได้ อย่างไรก็ดี หากลูกค้าไม่สามารถปรับตัวได้ในช่วงที่มีการผ่อนชำระมากขึ้น (step up) ธนาคารจะมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญให้ครบทั้ง 100%
“ปีนี้สินเชื่ออาจไม่ได้เติบโตเยอะ การเข้มขึ้นของสินเชื่อ อาจต้องมาดูกลุ่มที่สอดคล้องกับท่องเที่ยว การเติบโตของประเทศ และมีความสบายใจในการปล่อย ซึ่งทุกธนาคารต้องดูให้รอบคอบ หากมีปัญหาเราก็สำรองครบ ไม่ซุกปัญหาไว้ใต้พรม”
ไม่กังวล STARK-สำรองเต็ม
ส่วนกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่มีปัญหานั้น แบงก์ได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้ครบทั้งจำนวนแล้ว จึงไม่ได้มีความกังวล อย่างไรก็ดี การตั้งสำรองไม่ใช่เฉพาะแต่เหตุการณ์นี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกรณีอื่น ๆ ด้วย
“ปัจจุบันหลายคนเริ่มกลับมาพิจารณาว่า มีบริษัทใดมีความเสี่ยงเพิ่มเติมหรือไม่ โดยเป็นเรื่องปกติที่ธนาคารทุกแห่งก็ต้องกลับมาดูพอร์ตสินเชื่อลูกค้าตัวเอง ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และติดตามบริหารความเสี่ยงใกล้ชิด เคสนี้เราได้ตั้งสำรองเต็มจำนวนไว้แล้ว 100% และหากดู exposure เรามีไม่เยอะมาก เพราะ STARK เป็นลูกหนี้ L/G ซึ่งหลังจากนี้ ก็เป็นไปตามกระบวนการ”
ยึดหลักปล่อยกู้อย่างรับผิดชอบ
ซีอีโอธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีแนวทางออกมานั้น ต้องบอกว่า หนี้ครัวเรือน 16 ล้านล้านบาท หรือ 90.6% ของจีดีพี เป็นหนี้ที่เกิดจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ประมาณ 70% อีกราว 20% มาจากผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (น็อนแบงก์)
และมีเพียง 10% ที่มาจากธนาคารพาณิชย์ และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล
“ดังนั้น ภาพรวม ระบบธนาคารพาณิชย์ไม่ได้เป็นตัวเร่งหนี้ครัวเรือนมากนัก อย่างไรก็ดี ไทยพาณิชย์ยังคงยึดหลักการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ ไม่ปล่อยสินเชื่อมากเกินไป โดยไม่คำนึงถึงรายได้และมีเงินเหลือในการดำรงชีวิตของลูกค้า” ซีอีโอธนาคารไทยพาณิชย์กล่าว