เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ประเมินเงินเฟ้อยังไม่จบ ธปท.มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อ

ขึ้นดอกเบี้ย

ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์มหภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้เศรษฐกิจไทยใกล้เข้าสู่สภาวะปกติ แบงก์ชาติถอนคันเร่งนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย คาดอาจปรับดอกเบี้ยอีกครั้งปีนี้คุมเงินเฟ้อจากเอลนีโญ ตั้งรัฐบาลล่าช้าไม่น่าห่วงเท่าประท้วง หวั่นทำท่องเที่ยวสะดุดฉุดเศรษฐกิจโต

วันที่ 3 สิงหาคม 2566 ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เมื่อวานนี้ (2 สิงหาคม 2566) เป็นไปตามที่แบงก์ชาติพยายามสื่อสารมาโดยตลอด แม้คนทั่วไปอาจไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวตามที่แบงก์ชาติประเมินไว้

แต่การขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับนโยบายการเงินให้เข้าสู่ระดับปกติ (Normalization Process) จากช่วงโควิดที่ผ่านมา ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ในช่วงต่ำกว่าระดับปกติ ซึ่งการสื่อสารของแบงก์ชาติรอบนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า อยู่ในจุดที่ใกล้จบดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว

ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม
ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม

“เราไม่ได้เหยียบเบรกเหมือนเฟด แต่เรากำลังถอนคันเร่งจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายตั้งแต่ยุคโควิด เพราะเศรษฐกิจไทย ฟื้นตัวช้ากว่าหลายประเทศ ต่างจากกรณีของสหรัฐอเมริกาที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วมากจนตึงตัว ต้องแตะเบรก”

ดอกเบี้ยแพงไปหรือยัง ?

หน้าที่หลักของนโยบายการเงินคือ การรักษากำลังซื้อของคนในระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางทั่วโลกจึงมุ่งเป้าไปที่การควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย แม้แต่ธนาคารกลางสหรัฐที่ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ระดับ 0.25% จนถึง 5.25% โดยยอมรับความเสี่ยงที่อาจทำให้เศรษฐกิจถึงขั้นถดถอย เพราะไม่อยากให้ของแพงจนเกินไป เมื่อเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูงมาก การขึ้นดอกเบี้ยจึงต้องใช้ยาแรงตาม

“ในกรณีของไทย ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% นิด ๆ เทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ 3.6-3.8% ยังถือว่าไม่สูง เปรียบเสมือนคนที่มีรายได้โตตาม GDP ส่วนดอกเบี้ยไม่ได้สูงเกินรายได้ แต่ปัญหาของบ้านเราคือ ภาคครัวเรือนมีหนี้พอกพูนมาก่อนแล้ว พออยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ภาระหนี้ก็สูงขึ้นตาม”

ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาระดับโครงสร้าง ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะจุดในการดูแล เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ หรือการขอความร่วมมือจากเจ้าหนี้ ดังนั้น การใช้นโยบายการเงินผ่านการปรับอัตราดอกเบี้ยจึงไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย หากดอกเบี้ยถูกไป ยิ่งจูงใจให้คนกู้เยอะขึ้น อาจนำไปสู่วิกฤตในระยะยาวได้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นเครื่องมือในการดูแลเศรษฐกิจมหภาค จึงกำลังทำหน้าที่อย่างเหมาะสมแล้วในการรักษาเสถียรภาพด้วยการทำให้เงินเฟ้อปรับให้เข้าสู่กรอบเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน

มีโอกาสขึ้นต่ออีก 1 ครั้ง

นักเศรษฐศาสตร์ รั้วจุฬาฯ แสดงความเห็นว่า แบงก์ชาติยังมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้งในปีนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะไปจบที่ 2.5% สาเหตุหลักมาจากความเสี่ยงของเงินเฟ้อ แม้ที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อจะต่ำเนื่องจากฐานที่สูงในปีที่แล้ว แต่ปัจจัยเสี่ยงในภายภาคหน้ายังไม่จบ โดยเฉพาะปรากฏการณ์เอลนีโญ อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อพื้นฐานในส่วนของอาหารได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ แบงก์ชาติยังส่งสัญญาณที่ระบุว่า “ต้องการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่อยู่ในระดับสูง” จึงอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยไว้ก่อนในยามที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง เพื่อให้มีพื้นที่ (Policy Space) ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจไทยไม่ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องตามคาด ก็อาจทำให้แบงก์ชาติพิจารณาหยุดขึ้นดอกเบี้ย โดยตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเป็นหลักในปีนี้คือ ภาคท่องเที่ยว แม้จะมีตัวเลขคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้นกว่าปีที่แล้วแต่ยอดการใช้จ่ายต่อหัวกลับลดลง

ในขณะที่ภาคส่งออกยังถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก หลังจากผ่านไปครึ่งปี พบว่าเศรษฐกิจสหรัฐแย่น้อยกว่าที่ตลาดคาด ตรงกันข้ามกับตัวเลขเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวน้อยกว่าที่คาด จนกระทั่งธนาคารกลางของจีนจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยลง และรัฐบาลจีนกำลังถูกกดดันให้อัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

เศรษฐกิจไทยกำลังโต ไม่ว่าจัดตั้งรัฐบาลช้าหรือเร็ว

ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ตั้งข้อสังเกตว่า คนอาจจะกังวลเรื่องระยะเวลาการจัดตั้งรัฐบาลมากเกินไป การจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าไม่ว่าจะ 3 หรือ 6 เดือน อาจส่งผลต่องบลงทุนภาครัฐอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจีดีพี การเบิกจ่ายตามปกติยังคงทำได้ การลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนมีผลต่อเศรษฐกิจมากกว่า ซึ่งเห็นสัญญาณแล้วว่าตัวเลขดีขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เรื่องจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าหรือการทะเลาะกันในสภายังไม่น่าห่วงเท่ากับความรุนแรงนอกสภา การประท้วงที่นำไปสู่การสร้างบรรยากาศตึงเครียดบนท้องถนน จะกระทบกับภาคท่องเที่ยวโดยตรง และอาจฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้

“ถามคนทั่วไปก็รู้อยู่แล้วว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่คงจะตามมา ไม่ว่าจะเป็นแจกเงิน ขึ้นค่าแรง เชื่อว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาก็จะอัดฉีดด้านการคลังเพื่อให้เห็นว่าได้เริ่มลงมือทำงาน เป็นจังหวะเดียวกับที่นโยบายทางการเงินกำลังลดการผ่อนคลาย ให้เศรษฐกิจไทยกลับสู่สภาวะปกติ”