คอลัมน์ : เช็กกระแสหุ้น
หุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (31 ก.ค.-4 ส.ค.) ลงหนักช่วงกลางสัปดาห์ ท้ายสัปดาห์รีบาวนด์ขึ้นมาได้
โดย “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ช่วงต้นสัปดาห์ SET Index ปรับตัวขึ้น จากความคาดหวังการเมืองที่น่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่เมื่อมีประกาศเลื่อนโหวตนายกรัฐมนตรี ก็มีการปรับตัวลงจากความผิดหวัง และเริ่มเห็นการ lock profit เกิดขึ้น ทั้งในตลาดหุ้นและตราสารหนี้
นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติขึ้นดอกเบี้ยตามคาดที่ 0.25% และเน้นย้ำถึงเรื่องคุณภาพสินเชื่อที่อาจดูด้อยลง ซึ่งไม่เป็นผลดีเท่าไหร่ต่อกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ตาม ประเด็นราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเป็นปัจจัยที่เข้ามาช่วยพยุงตลาดไว้
รวมถึงการที่ Fitch Ratings ปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐ ไม่ได้น่ากังวลมากนัก เนื่องจากไม่ใช่รายแรกที่ปรับ เพราะ S&P เคยปรับเครดิตสหรัฐลงมาแล้ว ดังนั้น ผลกระทบจึงไม่ได้รุนแรง
มองไปในสัปดาห์ข้างหน้า (7-11 ส.ค.) “ณัฐชาต” ประเมินว่า กรอบดัชนี SET จะมีแนวต้านอยู่ที่ 1,560 จุด และแนวรับที่ 1,500 จุด โดยปัจจัยการเมืองคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ปัจจัยที่จะส่งผลต่อตลาด คือ เรื่องของกำไรสุทธิ (earnings) ของบริษัทจดทะเบียน ที่อาจนำไปสู่การปรับประมาณการ
“หากภาพประมาณการกำไรเป็นไปในทิศทางของการปรับลด (downgrade) อาจทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจน้อยลง”
ส่วนปัจจัยในต่างประเทศ ต้องดูตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ ในคืนวันศุกร์ที่ 4 ส.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่จะออกมา ในวันที่ 10 ส.ค. หากออกมาสูงกว่าคาด อาจนำไปสู่การคาดการณ์ของนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปต่อมุมมองการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยตอนนี้ 30% เชื่อว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง และ 70% เชื่อว่าดอกเบี้ยเฟดพีกไปแล้ว
ด้านกลยุทธ์ แนะนำ wait & see ชะลอการลงทุนไปก่อน แต่หากนักลงทุนต้องการลงทุน แนะนำ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มโรงกลั่น ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวแข็งแกร่ง และกำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เช่น TOP, SPRC, BCG และกลุ่มโรงพยาบาล ที่กำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเช่นกัน อย่าง BDMS, BCH และ BH