
หลังจาก “Fitch Ratings” ประกาศปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐ จากระดับ AAA ลงมาเป็น AA+ เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นการปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐในรอบ 12 ปี จากก่อนหน้านี้ “S&P” ก็เคยปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐจาก AAA เป็น AA+ มาแล้วเมื่อปี 2554 ทำให้มีคำถามว่า ในแง่การลงทุน จะได้รับผลกระทบ หรือควรลงทุนอย่างไร
ซึ่งเรื่องนี้ “ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า สาเหตุที่ Fitch Ratings ปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐ มาจากความกังวลกรณีภาระหนี้สินที่ค่อนข้างสูงมาก
ซึ่งหากดูจาก US Total Debt จะเห็นว่าภาพรวมหนี้ของสหรัฐปัจจุบันอยู่ที่ 32 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมาเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา และมองไปข้างหน้าคาดการณ์ว่ารายได้จากการเก็บภาษีของสหรัฐก็ยังจะต่ำอยู่ ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐต้องขาดดุลการคลังสูงขึ้นเป็น 6.6% ของ GDP ในปี 2567 และเป็น 6.9% ในปี 2568
“การปรับลดอันดับเครดิตถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่สหรัฐน่าจะไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เนื่องจากสหรัฐมองว่า Fitch เป็นบริษัทจัดอันเครดิตอันดับที่ 3 ไม่ใช่บริษัทใหญ่ที่สุดในสหรัฐ เมื่อเทียบกับ Moody’s และ S&P โดยดอลลาร์ก็ยังแข็งค่าและตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ออกมาในระยะนี้ รวมถึงการคาดการณ์ในระยะข้างหน้าก็ยังมีแนวโน้มที่ดี”
ดังนั้น การปรับลดอันดับเครดิตในครั้งนี้อาจยังไม่ได้สร้างผลกระทบมากนัก ในระยะสั้นจึงยังไม่เห็นบรรยากาศของการ sell-off ที่รุนแรงเกิดขึ้น แต่อาจจะเห็นแรงขายเล็กน้อยในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งส่งผลให้มีการดีดตัวขึ้น แต่ก็ไม่ได้สูง หรือไม่ได้รุนแรง
ขณะที่ “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา กล่าวว่า การลดอันดับเครดิตสหรัฐ อาจจะไม่ได้กระทบต่อภาพใหญ่ เนื่องจาก Fitch มีสัดส่วนเพียง 15% ที่อยู่ในสหรัฐเทียบกับ Moody’s และ S&P ที่มีสัดส่วนถึง 40% แต่สิ่งที่ต้องติดตามต่อก็คือ Moody’s จะมีการปรับลดอันดับเครดิตต่อจาก Fitch Ratings หรือไม่ ซึ่งหาก Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตลงตาม ก็จะส่งผลกระทบมากขึ้นได้
“อย่างไรก็ตาม มองว่าเมื่อไหร่ที่สหรัฐสูญเสียสถานะของการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย คือปรับเครดิตเรตติ้งจาก AAA ลงมาเป็น AA+ คิดว่าจะมีแรงเขย่ากลับไปที่ธนาคารกลางหลาย ๆ แห่ง ว่าถ้าหากพันธบัตรสหรัฐไม่ได้เสี่ยงต่ำที่สุดอีกต่อไป ธนาคารกลางอาจจะยิ่งเร่งไม่เอาดอลลาร์มาใช้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ และไปกระจายลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นหรือเปล่า นี่เป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อ”
ด้าน “บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวว่า มองการปรับลดเครดิตเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้น เพราะหากย้อนไปในอดีตเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2554 ทาง S&P ก็มีการปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐลงเช่นเดียวกัน ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นในตอนนี้และในอดีตไม่ได้ต่างกัน ก็คือตลาดหุ้นตก ส่วนบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีดีดตัวขึ้น
“แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในรอบนี้คือ มีความแตกต่างกันตรงที่ว่า รอบนี้ตลาดหุ้นตกก็จริง แต่บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับขึ้น ส่วนบอนด์ยีลด์ระยะสั้นยังคงไม่ได้ปรับขึ้นอย่างมีนัยยะ”
เหตุที่มองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น เนื่องจากสาเหตุที่ตลาดหุ้นปรับตัวลง และบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น มีเหตุการณ์อื่นเข้ามาผสมด้วยและเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง หรืออาจจะไม่ขึ้นแล้ว แต่อาจจะยังคงไม่ลดดอกเบี้ย อาจจะค้างไว้นานกว่าที่คาดการณ์
รวมถึงประเด็นที่กระทรวงการคลังของสหรัฐมีแผนจะออกพันธบัตรประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาส 3 และอีก 8.5 แสนล้านดอลลาร์ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ส่งผลให้ปริมาณพันธบัตรที่จะออกมาสู่ตลาดจะเพิ่มขึ้น ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น
“ฉะนั้น จะเห็นว่ามี 2 ปัจจัยเข้าผสมเเละส่งผลต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในระยะสั้นคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์และจบลง เพราะภาพในระยะยาวของสหรัฐ โดยเฉพาะเรื่องของวินัยการคลังน่าจะยังดีอยู่ และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดย consensus มีการคาดการณ์ว่า GDP ของสหรัฐไตรมาสต่อไตรมาสจะติดลบแค่ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ขณะที่ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2567 เป็นต้นไป จะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ขณะที่ในส่วนของเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อย ๆ”
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในระยะสั้นที่ยังคลุมเครือ อาจจะ wait&see ไปก่อน ส่วนถ้าหากเป็นนักลงทุนระยะกลาง-ยาว อาจจะใช้จังหวะช่วงนี้ในการทยอยเก็บหุ้นในช่วงที่ตลาดย่อลงมาแรง ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี