วิจัยกรุงศรี จ่อหั่นจีดีพีปี’66 ลงจาก 3.3% เกาะติดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ

วิจัยกรุงศรี

วิจัยกรุงศรีเตรียมปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ลงจาก 3.3% ชี้รอดูสถานการณ์การเมือง 1-2 สัปดาห์ต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ หลังตัวเลขจีดีพีของสภาพัฒน์ 1.8% ต่ำกว่าประมาณการ 2.7% มองการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในภาวะอ่อนแอในครึ่งหลังของปี 

วันที่ 22 สิงหาคม 2566 วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า สภาพัฒน์รายงาน GDP ในไตรมาสสองที่ปรับผลของฤดูกาลออกขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.2% QoQ sa ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์และวิจัยกรุงศรีคาดที่ 1.2% และ 1.0% ตามลำดับ ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 GDP เติบโตอยู่ที่ 2.2% YOY ต่ำกว่าที่วิจัยกรุงศรีคาดไว้ที่ 2.7% 

ส่วนในช่วงครึ่งหลังของปี วิจัยกรุงศรียังมีมุมมองว่าเศรฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีภาคท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญโดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่นในไตรมาสสุดท้ายของปี ประกอบกับการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นได้ภายในไตรมาส 3 นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน และหนุนให้การดำเนินนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจกลับมาเร่งขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปี 

อย่างไรก็ตาม ภาคส่งออกของไทยยังคงอ่อนแอจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่ชะลอตัว โดยภาพรวมทั้งปี วิจัยกรุงศรีเตรียมปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ลงจากที่เคยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.3% โดยจะรอดูสถานการณ์การเมืองในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางของนโยบายเศรษฐกิจในระยะต่อไป 

การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังมีแนวโน้มอ่อนแอ ผลกระทบจากอุปสงค์ทั้งต่างประเทศและในประเทศที่ชะลอตัวลง ผนวกกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าจีน ดัชนีความเชื่อมั่นภาค อุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ที่ 92.3 และลดลงจาก 94.1 ในเดือนมิถุนายน โดยปรับลดลงในทุกองค์ประกอบ ทั้งดัชนีฯ คำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ 

Advertisment

เช่นเดียวกับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับลงมาอยู่ที่ 100.2 จาก 102.1 ในเดือนมิถุนายน ปัจจัยลบจาก 1.ความกังวลของผู้ประกอบการต่อความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 2.ความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อาทิ ราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า และค่าจ้างแรงงาน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกิจการ และ 3.สภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง กำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอลงจากความกังวลหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น

วิจัยกรุงศรีประเมินแนวโน้มการผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจอยู่ในภาวะอ่อนแอต่อเนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งสะท้อนจากข้อมูลดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่หดตัว 4.6% YOY เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีทิศทางชะลอตัว โดยเฉพาะภาคการผลิตของประเทศแกนหลักยังอยู่ในภาวะหดตัวต่อเนื่อง กอปรกับเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าคาด ทำให้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ 

นอกจากนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยว่า ล่าสุดหลายอุตสาหกรรมของไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันกับกลุ่มสินค้าจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศมากขึ้น โดยจากเดิมไทยได้รับผลกระทบในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ได้ขยายวงกว้างไปยังกลุ่มอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอะลูมิเนียม อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติก เป็นต้น