
กรุงเทพประกันภัย ชงประชุมผู้ถือหุ้น 6 ต.ค.นี้ ปรับแผนโครงสร้างธุรกิจ จัดตั้ง “บีเคไอ โฮลดิ้งส์” แลกหุ้นเข้าตลาด คาดทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ไตรมาส 2 ปี 2567 แย้มแผนลงทุน “เทคคอมปะนี-ศูนย์ตรวจสภาพรถ-นาโนไฟแนนซ์”
วันที่ 3 ตุลาคม 2566 ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท โดยการจัดตั้ง บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH เพื่อประกอบธุรกิจเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company)
ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 และจะมีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ในวันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างในครั้งนี้
เทนเดอร์ออฟเฟอร์ ไตรมาส 2 ปีหน้า
โดยปัจจุบัน BKIH ได้จัดตั้งบริษัทแล้ว เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ด้วยทุนจดทะเบียน 10,000 บาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 10 บาทต่อหุ้น โดยจะมีการเพิ่มทุนให้เท่ากับ BKI เพื่อรองรับการแลกหุ้น
หลังจากเมื่อได้รับอนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว จะดำเนินการยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และประสานงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ใช้เวลาไม่เกิน 135 วัน
คาดว่าภายหลังจากสำนักงาน ก.ล.ต. อนุมัติ จะเข้าสู่ขั้นตอนการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ BKI หรือการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ โดยมีกำหนดระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 45 วันทำการ โดย BKIH จะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BKIH เพื่อแลกกับหุ้นสามัญของ BKI ในอัตราเท่ากับ 1 หุ้นสามัญของ BKI ต่อ 1 หุ้นสามัญของ BKIH ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567
และภายหลังการทำคำเสนอซื้อเสร็จสิ้นแล้ว BKI จะดำเนินการเพิกถอนหุ้นของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และนำ BKIH เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทนในวันเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นไตรมาส 2 ปีหน้า
ปันผลไม่ต่ำกว่า 15 บาทต่อหุ้น
“เราจะพยายามแสวงหาให้ผู้ถือหุ้นทุกรายเข้ามาโหวตให้ความเห็นชอบแผนในครั้งนี้ คาดว่าน่าจะมีผลโหวตผ่านแผนเกือบ 100% โดยยืนยันว่าผู้ที่สวอปหุ้นจะได้รับเงินปันผลไม่ต่ำกว่าที่เคยได้รับจาก BKI ซึ่งเมื่อปีที่แล้วจ่ายปันผลไปประมาณ 15 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้เน้นย้ำว่าหากผู้ถือหุ้นรายใดไม่สวอปหุ้น อาจจะส่งผลกระทบทั้งในแง่ของไม่มีราคาตลาดอ้างอิงสำหรับการซื้อขายหุ้น BKI ในอนาคต เพราะเป็นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วก็จะต้องเสียภาษีด้วยหากมีการซื้อขายหุ้น รวมถึงอาจจะได้รับข่าวสารน้อยลงไป” ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว
การถือหุ้นหลังปรับโครงสร้าง
ทั้งนี้โครงสร้างการถือหุ้นภายหลังการปรับโครงสร้าง BKIH จะถือหุ้น BKI สัดส่วน 100% โดยปัจจุบัน BKI ถือหุ้นอยู่ใน 3 บริษัทคือ 1.Asia Insurance International (Holding) Limited (ALL) สัดส่วน 41.70% 2.Bangkok Insurance (Lao) Company Limited (BKIL) สัดส่วน 38% และ 3.Asia Insurance (Combodia) Public Company Limited (AICP) สัดส่วน 22.92% ในส่วนนี้กำลังอยู่ระหว่างขอปรับเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Bangkok Insurance (Combodia) Company Limited
นอกจากนี้ ALL ยังถือหุ้นใน Asia Insurance (Philippines) Corporation (AIPC) อยู่อีก 20% และถือหุ้นใน Combodian Reinsurance Company (CRC) อีกสัดส่วน 17.22%
โมเดลลงทุนยึด 2 กลุ่มธุรกิจ
ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต บริษัทวางแผนจะดำเนินธุรกิจผ่าน 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มธุรกิจหลัก ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย โดยจะมีขนาดสินทรัพย์รวมกันไม่น้อยกว่า 75% ของสินทรัพย์รวมของ BKIH ประกอบด้วย 3 สายงานธุรกิจ
ได้แก่ 1.ธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทย (Non-Life Insurance) 2.ธุรกิจประกันภัยในต่างประเทศ (International Insurance) และ 3.ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย (Insurance Related)
และ 2.กลุ่มธุรกิจอื่น ดำเนินธุรกิจนอกเหนือจากการประกันภัย โดยจะมีขนาดของสินทรัพย์รวมกันไม่เกิน 25% ของสินทรัพย์รวมของ BKIH
สนใจ “เทคคอมปะนี-ศูนย์ตรวจสภาพรถ”
โดยในช่วง 2 ปีแรก ผลประกอบการเกือบ 100% ของ BKIH ยังคงมาจาก BKI แต่ในช่วงเวลาเดียวกันบริษัทจะทำการศึกษาวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ และความคุ้มทุนในการขยายกรอบธุรกิจ โดยจะเห็นความชัดเจนการลงทุนในไปป์ไลน์ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
“ตอนนี้รอหลาย ๆ ปัจจัยที่มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งเรื่องภาวะสงครามที่กำลังตึงเครียด ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง และดอกเบี้ยที่มีท่าทีจะปรับขึ้นอีก”
อย่างไรก็ดี เบื้องต้นมีแนวทางการลงทุนกลุ่มแรกคือ 1.บริษัทเทคคอมปะนี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเอไอเทคโนโลยี เพื่อจะนำไปสู่การเป็น Digital Insurance เพื่อสร้างความเป็น Zero-Touch Customer Experience ซึ่งช่วงนี้กำลังมองหาแพลตฟอร์มและผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมจัดตั้งบริษัท และในอนาคตบริษัทนี้จะสามารถเป็น Outsourcing Services ให้กับบริษัทประกันวินาศภัยขนาดกลางและขนาดเล็กที่ขาดศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีได้ด้วย
2.ลงทุนสร้างศูนย์ตรวจสภาพรถ เพื่อการทำประกันภัย สำหรับรถที่มีอายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไป ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีเอไอมาช่วย โดยบริษัทนี้จะอยู่ภายใต้บริษัทเทคคอมปะนี เบื้องต้นยังไม่ได้วิเคราะห์ความคุ้มทุน แต่อยู่ในไปป์ไลน์ของการศึกษา โดยในพื้นที่นี้เล็งว่าจะมีสำนักงานตัวแทนนายหน้า ณ จุดตรวจสภาพรถด้วย ซึ่งสามารถจะนำเสนอขายประกันภัยให้ได้ฐานลูกค้าที่กว้างขว้างขึ้น
“เราฟันธงว่าทำแน่ เพียงแต่จะไปในสเกลไหน มีการร่วมทุนกับใคร อาจจะต้องใช้ระยเวลาศึกษาอย่างละเอียด เพราะต้องใช้เงินทุนพอสมควร”
มีโอกาสขยาย “นาโนไฟแนนซ์-เฮลท์แคร์”
ส่วนการลงทุนกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ มีความสนใจทั้งธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ แต่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ที่สูงพอในการทำธุรกิจ ภายใต้สภาพหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เปราะบางมาก แต่ก็จะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อการเติบโตของ BKIH นอกจากนี้ยังสนใจลงทุนในกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ และเกี่ยวกับการบริการเทเลเมดิซีนอีกด้วย
โดยแหล่งเงินลงทุนนั้น เบื้องต้นมีหลายทางไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืมเงินธนาคารหรือการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ และจะมีรายได้จากเงินปันผลของบริษัทย่อย อาทิ BKI เข้ามาเป็นทุนสำรองในอนาคต