ไขคำตอบทำไม “หุ้นไทย“ ตกแรง ต่างชาติขายไม่หยุด เพราะอะไร ?

ตลาดหุ้น

นักวิเคราะห์ “เอเซีย พลัส” ไขคำตอบทำไม “หุ้นไทย“ ตกแรง ต่างชาติขายไม่หยุด เพราะอะไร?

วันที่ 4 ตุลาคม 2566 นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลานี้ ในเชิงกลไกแล้วถือว่าเป็นภาวะที่เกิดจากการ ”ปรับสมดุลในตลาดการเงิน” โดยจุดเริ่มต้นเกิดจากเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก

ซึ่งมาจากเหตุผลของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขตลาดแรงงานออกมาแข็งแกร่ง ทำให้ตลาดทุนมองว่าการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยสูงไว้ที่ 5.5% ยาวไปจนถึงกลางปี 2567

“บอนด์ยีลด์สหรัฐแทบทุกอายุ ไม่ว่าจะอายุ 2 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายทั้งหมด โดยบอนด์ยีล์ด์สหรัฐ 10 ปี ตอนนี้ไม่ถึง 5% ฉะนั้นเมื่อมองแล้วเฟดจะคงดอกเบี้ยยาว ๆ สิ่งที่บอนด์ยีลด์สะท้อนก็คือ ต้องพยายามปิด gap ช่องว่างตรงนี้ และวิ่งขึ้นมาให้ใกล้ดอกเบี้ยนโยบายมากที่สุด“

และสิ่งที่ลามมากระทบตลาดทุนไทยก็คือ เมื่อบอนด์ยีลด์สหรัฐขึ้นแรง เกิดอาการเปรียบเทียบระหว่างบอนด์ยีลด์สหรัฐกับบอนด์ยีลด์ไทย gap มีความห่างขึ้น จึงส่งผลให้นักลงทุนเทขายบอนด์ตัวที่ผลตอบแทนต่ำ แล้วไปซื้อตัวที่ผลตอบแทนสูง

ส่งผลทำให้ ”เงินไหลออก“ กระทบทำให้ ”เงินบาทอ่อนค่า” และเมื่อเงินบาทอ่อนค่า ในมุมของนักลงทุนต่างชาติ ไม่กล้าเอาเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะถ้าเข้ามาจะโดน FX Loss ทันที ส่วนต่างชาติที่ลงทุนอยู่แล้วก็ต้องมีการขายออกไป

นำมาซึ่งความกังวลว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันกว่า 1.6 แสนล้านบาท และไปกดดัชนี SET Index ปรับตัวลง

ถามว่าทำไมดัชนี SET Index ต้องผันผวนแรงขนาดนี้ ก็พบว่ามีเหตุกระตุ้นคือ โครงสร้างการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ตอนนี้เป็น Program Trade ประมาณ 35% ซึ่งประมาณ 1 ใน 3 ของโปรแกรมเทรดคือ High Frequency Trading (HFT) คือการส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความถี่สูง เวลาเห็นสัดส่วนที่มีลักษณะแบบนี้มาก ๆ เวลามีการเบรกจุดที่สำคัญ ๆ มักจะเห็นอาการขายตามลงมา ซึ่งตรงนี้เป็นตัวที่เร่งให้เกิดความเร็วมากขึ้นในการปรับฐาน

และพอเห็นดัชนี SET Index หลุดลงมาถึงระดับหนึ่งแล้ว ทางกลไกของมาร์จิ้นจะทำหน้าที่ Margin Call กับ Force Sell ซึ่งมีผลทำให้การเปลี่ยนแปลงชัดเจนและแรงมากขึ้น

ประเมินแล้วการปรับสมดุลในตลาดการเงินครั้งนี้ น่าจะกินเวลาอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่เริ่มเห็นค่าเงินบาทเริ่มนิ่ง จะสะท้อนว่าการปรับสมดุลในตลาดการเงินเริ่มจะจบแล้ว และผลกระทบต่อตลาดที่จะเห็นจากตรงนั้นจะเป็นการสะท้อนภาพปัจจัยพื้นฐานได้มากขึ้น

ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่เทรดดิ้งระยะสั้น ”เสี่ยง“ แต่สำหรับนักลงทุนที่ถือเงินเย็น และสามารถที่จะซื้อและถือยาวได้ มองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน โดยโซนดัชนี SET Index ตอนนี้ถือว่าราคาถูก และมีปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานค่อนข้างเป็นบวก