วิจัยกรุงศรีชี้ลงทุนเอกชนครึ่งปีโตต่ำ คาดเห็นเงินลงทุนจริง 1-2 ปีข้างหน้า

กรุงศรี วิจัยกรุงศรี ลงทุน เอกชน

วิจัยกรุงศรีมองสถานการณ์ในอิสราเอลกระทบไทยจำกัด แต่ยังต้องจับตาความไม่แน่นอน เผยการบริโภคภาคเอกชนยังโตต่อเนื่อง หลังครึ่งปีแรกโต 6.8% ด้านการลงทุนยังโตต่ำ 1.8% แต่เริ่มสัญญาณเป็นบวก จากตัวเลขของส่งเสริมฯ 8 เดือนกว่า 1,375 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุน 4.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% คาดมีเงินลงทุนจริง 1-2 ปีข้างหน้า

วันที่ 17 ตุลาคม 2566 วิจัยกรุงศรีระบุว่า การบริโภคภาคเอกชนในช่วงครึ่งหลังของปียังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปีที่ขยายตัวสูงกว่า 6.8% YOY ปัจจัยหนุนนอกจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐแล้ว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังมีทิศทางทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่น คาดการณ์ในอีก 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ 66.7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 64.2 ในเดือนสิงหาคม

อย่างไรก็ตาม แม้ล่าสุดจะมีความคืบหน้าจากการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนโครงการดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท แต่ยังต้องรอความชัดเจนในประเด็นต่าง ๆ เช่น เงื่อนไขและขอบเขต (รัศมี) ในการใช้จ่าย รวมถึงแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในโครงการและการบริหารจัดการหนี้ โดยทาง รมช.คลังระบุแผนกำหนดการเบื้องต้นว่าจะสามารถสรุปรายละเอียดทั้งหมดของโครงการได้ภายในเดือนตุลาคมนี้

การลงทุนภาคเอกชนยังเติบโตต่ำ แม้มีสัญญาณเชิงบวกอยู่บ้างจากยอดขอรับส่งเสริมที่เพิ่มขึ้น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 (เดือนมกราคม-สิงหาคม) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมรวม 1,375 โครงการ เพิ่มขึ้น 33% YOY และมีมูลค่าเงินลงทุน 465,058 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47%

ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน

ADVERTISMENT

ด้านข้อมูลการออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด มีจำนวน 1,106 โครงการ เพิ่มขึ้น 17% เงินลงทุนรวม 288,708 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน ถือเป็นสัญญาณบวกว่าจะมีเงินลงทุนจริงในอีก 1-2 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวเป็นลำดับ

การลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เติบโตเพียง 1.8% YOY ขณะที่เครื่องชี้ล่าสุดจากดัชนีการลงทุนภาคเอกชนในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมยังมีทิศทางฟื้นตัวไม่ชัดเจน โดยหดตัวที่ 1.1% แม้ส่วนหนึ่งของการลงทุนจะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมในประเทศและภาคท่องเที่ยวก็ตาม แต่ยังมีปัจจัยลบจากภาคส่งออกที่ยังอ่อนแอ ตามภาวะการค้าโลกและอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว

ADVERTISMENT

ขณะที่ล่าสุดปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นในอิสราเอล ในเบื้องต้น หากสถานการณ์ไม่ลุกลามรุนแรง คาดว่าจะมีผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกของไทยค่อนข้างจำกัด เนื่องจากอิสราเอลนับเป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 40 ของไทย ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปอิสราเอลอยู่ที่ 546 ล้านดอลลาร์ (หรือคิดเป็น 0.3% ของมูลค่าการส่งออกรวม) ขยายตัว 12.6% YOY

โดยสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ด้านการนำเข้าจากอิสราเอลมีมูลค่า 311 ล้านดอลลาร์ (0.2% ของมูลค่าการนำเข้ารวม) หดตัว 14.2% สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช และเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ฮามาสยังมีความไม่แน่นอนสูงและยังไม่สามารถปฏิเสธโอกาสที่จะเกิดสถานการณ์เลวร้าย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาคการค้า การลงทุน และต้นทุนการผลิตผ่านปัญหาด้านการขนส่งและการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก