
คอลัมน์ : สถานีลงทุน ผู้เขียน : คมศร ประกอบผล ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้
ช่วงปีที่ผ่านมานับเป็นช่วงที่ยากลำบากสำหรับนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร หุ้นกู้ อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งทองคำ ก็ถูกกดดันจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาสินทรัพย์เกือบทุกประเภท โดยในตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนี S&P500 ยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดในช่วงปลายปี 2021 อยู่ราว 10%
ในขณะที่ดัชนี SET index ของไทยนั้นยิ่งแย่กว่า โดยดัชนีอยู่แถวระดับ 1,400 จุด ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่เราเห็นเมื่อสิบปีที่แล้ว ซึ่งเท่ากับว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีการเติบโตเลยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
มองไปข้างหน้า ปัจจัยกดดันจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นน่าจะเริ่มทุเลาลง โดยเรามองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐที่ระดับปัจจุบันที่ 5.5% นั้นสูงเพียงพอที่จะชะลอเศรษฐกิจ และกดดันเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายแล้ว ในขณะเดียวกัน bond yield ที่พุ่งขึ้นสูงถึงเกือบ 5% ก็นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยชะลอเศรษฐกิจ และทำให้ Fed ไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยไปสูงกว่านี้อีกแล้ว
แม้เราจะมองว่าปัจจัยลบจากดอกเบี้ยขาขึ้นจะผ่านเราไปแล้ว แต่ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ทั้งจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ความเสี่ยงจากการยุบตัวลงของฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามและความขัดแย้งในหลายพื้นที่ทั่วโลก ยังเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้น จึงอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะหวังให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวกลับมาเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนในปีหน้า
ตลาดหุ้นสหรัฐนั้นยังอยู่ในระดับที่แพงมาก เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลซึ่งปราศจากความเสี่ยง โดยอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มเพื่อชดเชยความเสี่ยง (earning yield gap) ในตลาดหุ้น ซึ่งคำนวณโดยใช้สัดส่วนกำไรต่อหุ้น (earnings yield) หรือส่วนกลับของค่า P/E ลบกับ bond yield ลดลงสู่ระดับ 0.6% ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2001
ในขณะที่อัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มในตลาดหุ้นกู้ความเสี่ยงสูง (high yield spread) ซึ่งคำนวณจากส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (อันดับเครดิตต่ำกว่า BBB-) กับพันธบัตรรัฐบาล (high yield spread) กลับเพิ่มขึ้นสะท้อนความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงขึ้น ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก การเคลื่อนไหวที่สวนทางกันของผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (risk premium) ในตลาดหุ้นและตลาดหุ้นกู้ สะท้อนว่านักลงทุนยังประเมินความเสี่ยงในตลาดหุ้นต่ำเกินไป
นอกจากนั้น เศรษฐกิจโลกซึ่งอาจชะลอตัวมากกว่าคาด และอาจนำไปสู่การปรับลดคาดการณ์ผลกำไรของตลาดหุ้น โดยในปัจจุบันนักวิเคราะห์คาดหวังการเติบโตของกำไรของดัชนี S&P500 ในปีหน้าที่ราว 12% ซึ่งนับเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับ GDP สหรัฐ ที่คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงเหลือเพียง 1% ในปีหน้า จากราว 2% ในปีนี้
ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงที่นักวิเคราะห์จะต้องปรับลดคาดการณ์ผลกำไรลง หากเศรษฐกิจยังส่งสัญญาณอ่อนแอลงต่อเนื่อง
เราแนะนำให้ลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ด้วยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างเช่นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนจากบอนด์ยิลด์ที่สูง ในขณะที่ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ โดยเราประเมินว่าบอนด์ยิลด์ที่ระดับปัจจุบันน่าจะปรับขึ้นได้จำกัดต่อจากนี้
โดยอาจเคลื่อนไหวที่ระดับ 4.8-5.0% ในระยะสั้น ก่อนจะลดลงสู่ระดับที่ 4.0-4.3% ในช่วงปีหน้า ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งถ้าเป็นไปตามคาด การลงทุนในพันบัตรอายุ 10 ปีจะได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาอีก 2-3% เพิ่มเติมจากผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่ราว 5%
ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนรวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 7-8% ในกรอบระยะเวลาการลงทุน 1 ปี
แต่ในกรณีที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า และ Fed ต้องกลับมาลดดอกเบี้ยลงเร็วและแรงกว่าที่คาด ซึ่งจะส่งผลให้บอนด์ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.0%
ซึ่งในกรณีนี้ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในพันธบัตรอาจเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 10% ซึ่งทำให้เรามองว่าการลงทุนพันธบัตรสามารถคาดหวังผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดหุ้น และช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้ดี ในกรณีที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากกว่าคาดในปีหน้า