
กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 35.00-35.75 บาทต่อดอลลาร์ ติดตามประชุม กนง. คาดคงดอกเบี้ยที่ 2.50%
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงศรีมีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ (27 พ.ย.-1 ธ.ค.) ว่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 35.00-35.75 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 35.48 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 35.03-35.51 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สหรัฐขยับขึ้นเล็กน้อย
โดยรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. ระบุว่า เฟดเห็นร่วมกันว่าจะดำเนินการอย่างระมัดระวัง และจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยอีก ในกรณีที่กระบวนการควบคุมเงินเฟ้อไม่คืบหน้า ทั้งนี้ ในภาพรวมโทนของการหารือของผู้ดำเนินนโยบายเปลี่ยนไปสู่การให้ความสนใจ ว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ในกรอบ 5.25-5.50% ต่อไปอีกนานเพียงใด ขณะที่สัญญาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกมาค่อนข้างผสมผสาน ซึ่งทำให้ปัจจัยเสี่ยงมีสองด้านมากขึ้น แทนที่จะเป็นความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อสูงเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังมีข้อกังวลเรื่องสินเชื่อชะลอตัวลง
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 6,289 ล้านบาท และ 2,608 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่าตลาดจะให้ความสนใจกับข้อมูลเงินเฟ้อ PCE เดือน ต.ค.ของสหรัฐเป็นสำคัญ ขณะที่นักลงทุนเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเฟดจบวงจรการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และจะลดดอกเบี้ยลงในปี’67 รวมถึงคาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวแบบ Soft Landing
อย่างไรก็ตาม ตลาดมองว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้าเช่นกัน ทำให้ขาลงของค่าเงินดอลลาร์ในตลาดโลกอาจเป็นไปอย่างจำกัด นอกจากนี้ ชัยชนะของพรรคฝ่ายขวาจัดในเนเธอร์แลนด์ซึ่งมีแนวคิดต่อต้านสหภาพยุโรปอาจสั่นคลอนเสถียรภาพของยูโรโซนในระยะยาว อย่างไรก็ดี การที่เนเธอร์แลนด์เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มประเทศสมาชิกที่ใช้สกุลเงินยูโรน่าจะทำให้กรณีนี้แตกต่างจาก Brexit
ส่วนปัจจัยในประเทศ นักลงทุนจะติดตามข้อมูลส่งออกนำเข้าเดือน ต.ค. ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งเราคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ในการประชุมวันที่ 29 พ.ย. ทางด้านนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าเศรษฐกิจไทยในขณะนี้จำเป็นต้องมีการใช้มาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ โดยการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนเป็นประเด็นที่น่าวิตก หลังสภาพัฒน์รายงานจีดีพีไตรมาส 3/66 อ่อนแอเกินคาด