“ศุภวุฒิ” ชี้ความขัดแย้งจีน-สหรัฐป่วนโลก หวั่นทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ฉุดเศรษฐกิจ

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ชี้เศรษฐกิจโลกสะเทือนสุดจากความขัดแย้งจีนและสหรัฐ เหตุสัดส่วนเศรษฐกิจ 2 ประเทศรวมกันครอง 42% ของจีดีพีโลก เตือนไทยปรับตัวรับเทรนด์ใหม่โลก มอง Trump จะทำให้เศรษฐกิจโลกแย่ หากได้เป็นประธานาธิบดี

วันที่ 31 มกราคม 2567 ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวในงานสัมมนา GEOPOLITICS 2024 ภายใต้หัวข้อ “ส่องเศรษฐกิจไทย เมื่อโลกวิกฤต” ว่า ความขัดแข้งระหว่างจีนกับสหรัฐกระทบเศรษฐกิจโลกมากสุด เนื่องจากมูลค่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีการเติบโตของเศรษฐกิจ 25% ของจีดีพีโลก ขณะที่จีน 17% รวมกันครองอัตราส่วนถึง 42% ของจีดีพีโลกทั้งหมด ดังนั้นหาก 2 ประเทศนี้ทะเลาะกันย่อมส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน

“10 ปีที่ผ่านจีดีพีของจีนโต 1 เท่าตัวของจีดีพีโลก ซึ่งทำให้ 1 ใน 3 ของจีดีพีโลกเติบโตเพราะจีน แต่อนาคตข้างหน้าจะไม่ใช่ จีดีพีจีนกับโลกจะเติบโตเท่า ๆ กัน ไทยเองก็ต้องรับสภาพจากผลกระทบจากสถานการณ์นี้ด้วย” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว

เช่นเดียวกับที่มีผลต่อประเทศไทย ซึ่งเดิมตัวเลขการส่งออกก็มีอัตราการเติบโตกว่าจีดีพีของประเทศ มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวนี้เป็นเทรนด์ใหม่ ซึ่งประเทศไทยต้องระมัดระวังมาก เพราะสมัยก่อนการส่งออกไทยเติบโตกว่าจีดีพีมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันนี้จะเป็นเรื่องยาก

ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า เศรษฐกิจประเทศจีนเป็นมหาอำนาจด้านการค้าโลกมาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว โดยตั้งแต่เมื่อปี 2013 หรือเมื่อ 10 ปีก่อนทดแทนสหรัฐอเมริกาไปแล้ว ด้วยจุดเด่นที่แตกต่างจากประเทศอื่นที่มีการลงทุนมากเป็นพิเศษ นั่นคือมีมูลค่าการลงทุนเพื่อสร้างกำลังการผลิตในอนาคตสูงมากถึง 42% ของจีดีพี ขณะที่มีมูลค่าการบริโภคภาคครัวเรือนในภายในประเทศอยู่ที่เพียง 37% ของจีดีพี และอเมริกาสูงถึง 50-60% ดังนั้น ไม่แปลกที่จีนเป็นซูเปอร์การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม

ขณะที่ในช่วงโควิด-19 ระบาด ทางรัฐบาลของจีนกลับไม่ได้มีมาตรการช่วยเหลือใด ๆ ทำให้เศรษฐกิจจีนบางส่วนฟื้น แต่บางส่วนยังไม่ฟื้น แต่ในส่วนที่ฟื้นแล้วกระทบกับเศรษฐกิจไทย คือในส่วนภาคอุตสาหกรรมที่ไม่ได้แย่ แม้ด้านอสังหาริมทรัพย์มีปัญหาก็ตาม

Advertisment

ดร.ศุภวุฒิกล่าวเพิ่มเติมว่า กรณี Donald Trump ที่มีโอกาสกลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งจากการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ มีความน่าเป็นกังวลที่จะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจ เพราะเป็นบุคคลที่ไม่สามารถคาดเดาได้ โดยทุกนโยบายของ Trump จะทำให้เศรษฐกิจโลกแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนได้เลย

อย่างกรณีการถอนสหรัฐออกจาก NATO น่าจะส่งผลให้ Risk Premium เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งนโยบายไล่ผู้อพยพออกจากประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนแรงงานของสหรัฐปรับสูงขึ้น และที่จะลดภาษีแต่ไม่หารายได้เพิ่ม ย่อมทำให้เกิดการขาดดุลทางการคลังสูง ที่สำคัญน่าจะส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งจาก 4.2% ในขณะนี้ไปอีกมาก ทั้งนี้ ใน 3-4 เดือนนี้มีสิทธิที่ Trump จะติดคุกไปก่อนได้ แต่หากมาจริงก็ตัวใครตัวมันเลย

Advertisment