เผ่าภูมิ เผยรัฐบาลใหม่เร่งอัดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมลุยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

เผ่าภูมิ โรจนสกุล 

เผ่าภูมิ รมช.คลัง เผยรัฐบาลใหม่เร่งเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ลุยสร้างความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย ชู Entertainment Complex-Financial Hub พร้อมดึงดูดนักลงทุนมองหาโอกาสในการลงทุนไทยทั้งด้านการเงิน-การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ

วันที่ 28 สิงหาคม 2567 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Thailand Focus 204 ภายใต้หัวข้อ “ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง จุดพลังการเติบโต” ว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงผงกหัวขึ้นมาแล้ว โดยคาดว่าปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.3-2.8% ต่อปี เมื่อเศรษฐกิจไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น ทุกอย่างสะท้อนกลับมาที่ตลาดหลักทรัพย์ของไทยให้อยู่ในทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะสร้างแรงดึงดูดนักลงทุนไทยและต่างประเทศ รวมถึงสร้างดึงดูดให้เศรษฐกิจไทย

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เลือกเข้ามาลงในตลาดหลักทรัพย์ของไทยคือ เติบโตอย่างความมีประสิทธิภาพ ความเชื่อมั่นของผู้นำรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานกํากับที่จะทําให้ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ น่าดึงดูดในตลาดมีทิศทางที่สดใส และเป็นในเชิงบวก

ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายดึงดูดการลงทุนเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยสร้างแรงจูงใจที่หลากหลาย ให้กับกลุ่มธุรกิจที่ต้องการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้แสดงให้เห็นว่า มีการก่อตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นมากถึง 64% ซึ่ง 63% นั้นเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้รัฐบาลเล็งเห็นถึงการจัดวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมมูลค่าสูง (High-Valued Industry)

ซึ่งรัฐบาลได้วางเป้าหมายจะสร้างนโยบายเพิ่มแรงจูงใจให้กับผู้ที่ต้องการลงทุนในไทย เพื่อที่จะจุดประกายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคในที่สุด โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว เกษตรกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล และการเงิน ด้วยมุ่งหวังที่จะให้ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการเงินระดับภูมิภาคในอนาคต

ในขณะเดียวกันนั้น รัฐบาลมีมาตรการหลากหลายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลงทุนทางการเงินที่มีพัฒนาการในหลายแง่มุม โดยเฉพาะธรรมาภิบาลที่ดีขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนมองเห็นว่าประเทศไทยน่าลงทุนมากขึ้น หรือกองทุนวายุภักษ์ที่จะเปิดในปีนี้ เป็นมาตรการที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน และโครงการดิจิทัลวอลเลตที่รัฐบาลจะนำมาปัดฝุ่นใหม่ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูงและพลังงานสีเขียว

ADVERTISMENT

ซึ่งภาคการท่องเที่ยวจะเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทย โดยเฉพาะนโยบาย Entertainment Complex ที่เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในขณะนี้ เพราะจะเป็นการรวมความบันเทิงอันหลากหลาย เช่น Concert Halls และกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ ไว้ในสถานที่เดียว

“เม็ดเงินมันหมุนอยู่ในประเทศด้วยเงินก้อน ไม่ว่าจะงบประมาณ หรือเงินลงทุนอย่างเดียวไม่ได้ ซึ่งมันก็วนวนอยู่ในอ่าง แนวคิดของเพื่อไทยก็คือแนวคิดของการที่จะดึงเม็ดเงินใหม่เข้ามาสู่ในประเทศ เช่น นโยบาย Entertainment Complex รวมถึงนโยบายเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเลต ซี่งเรื่องนี้ต้องรอรัฐบาลใหม่แถลงความชัดเจนก่อน” นายเผ่าภูมิกล่าว

ADVERTISMENT

ด้านการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน หรือ Financial Hub นั้น จะต้องประกอบด้วย 1.ความน่าดึงดูดของประเทศจะต้องเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะสูงขึ้นได้ด้วยมีสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งด้านภาษีและสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี เช่น Income Tax, Corporate Tax ที่ต้องน่าดึงดูดให้เท่ากับประเทศอื่น ๆ ส่วนสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจ ไม่ว่าจะเป็นความง่ายของการเข้าเมือง VISA เรื่องของสิทธิประโยชน์ของแรงงานที่จะเข้ามา การเข้ามาในพื้นที่ต่าง ๆ ต้องทำงานร่วมกัน

“สำหรับ Financial Hub คือต้องแข่งขันกับที่อื่น ประเทศอื่นที่เป็น Hub ของโลก ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ หรือดูไบ เอาชนะด้วยความน่าดึงดูด เอาชนะด้วย Ecosystem ต้องทำให้น่าดึงดูดอย่างแน่นอน อยู่ในหลายปัจจัยที่เราพิจารณา” นายเผ่าภูมิกล่าว

ส่วนเรื่องของ Ecosystem ของระบบ Financial ของประเทศ จะต้องมีการพัฒนาขึ้น ดังนั้น จะต้องทำให้ประเทศพร้อมสำหรับการให้ต่างชาติเข้ามา ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (National Credit Guarantee Agency : NaCGA) คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการด้านกฎหมายแล้วเสร็จประมาณ 95% ซึ่งคาดว่าจะนำกฎหมายเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป ส่วน Financial Hub ขณะนี้ตั้งคณะทำงานชุดใหม่ขึ้นมา คาดว่าจะมีการแก้ไขร่างกฎหมายใหม่ คาดว่าจะใช้เวลา 2 เดือนจะเป็นรูปเป็นร่างได้

ทั้งนี้ การพัฒนาระบบเศรษฐกิจประเทศไทยให้หลากหลาย เป็นความมุ่งหวังในการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ซึ่งรัฐบาลยังมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เช่น การขยายสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง และการเชื่อมต่อระหว่างชายฝั่งอันดามันและอ่าวไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์แห่งการเชื่อมต่อระดับภูมิภาค

“หากมองไปในอนาคตข้างหน้าจะเห็นว่าไทยพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เรามีทั้งความยืดหยุ่น และการปรับตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูง ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้ลงทุนทุกท่านให้มองหาโอกาสในการลงทุนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทางการเงิน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือการเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทที่มีศักยภาพในประเทศไทย เพื่อให้เราทุกคนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” นายเผ่าภูมิกล่าว