
อัพเดตล่าสุด 27 พ.ย.2567 เวลา 11.55 น.
รัฐบาลแก้หนี้แพ็กเกจใหญ่ครอบคลุมกว่า 3 ล้านราย พร้อมเสนอเข้า ครม. 11 ธ.ค.นี้ เผยมาตรการเพิ่มเติมล่าสุด “แฮร์คัต” เงินกู้ส่วนบุคคล-บัตรเครดิต เป็นหนี้ไม่เกิน 5,000-10,000 บาท หนี้เสียค้างเกิน 1 ปี ทิ้งผ่อนนาน-ไม่มีแรงชำระ-ประวัติค้างในเครดิตบูโรดึงกลับมาชำระ 5-10% ประเมินแล้วจะครอบคลุมลูกหนี้อีกเกือบ 1 ล้านราย จากก่อนหน้านี้ที่มีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ “บ้าน-รถ” แขวนดอกเบี้ย 3 ปีที่ครอบคลุมลูกหนี้ 2.3 ล้านรายเตรียมไว้แล้ว
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนล่าสุด รัฐบาลจะมีการ “แฮร์คัต” หนี้สินเชื่อบุคคล/บัตรเครดิตให้กับลูกหนี้ที่มีวงเงินหนี้ไม่เกิน 5,000-10,000 บาท รวม ๆ แล้วอีกเกือบ 1 ล้านราย
นอกเหนือจากเดิมที่จะมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้สินเชื่อบ้านและรถที่รัฐบาลและธนาคารพาณิชย์จะช่วยจ่ายดอกเบี้ยแทนลูกหนี้ในช่วง 3 ปีแรก พร้อมกับลดการจ่ายค่างวดให้ภาระเบาลง ครอบคลุมลูกหนี้ราว 2.3 ล้านบัญชี มูลหนี้ 1.31 ล้านล้านบาทแล้ว
“ในส่วนที่เป็นการแฮร์คัตหนี้นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด ซึ่งคาดว่าจะกำหนดเงื่อนไขว่า ต้องเป็นหนี้เสียหรือมีปัญหาค้างชำระมาเกิน 1 ปี โดยมาตรการนี้จะร่วมกันทั้งแบงก์รัฐ (สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ) และแบงก์พาณิชย์ โดยจะอยู่ในแพ็กเกจแก้หนี้ด้วยและจะเสนอต่อ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 11 ธ.ค.”
แหล่งข่าวกล่าวว่า การแฮร์คัตหนี้ดังกล่าวไม่ใช่มาตรการช่วยเหลือแบบอัตโนมัติ แต่ลูกหนี้จะต้องแสดงความจำนงโดยการลงทะเบียน เพื่อให้มีการติดตามและเมื่อเข้าร่วมแล้วก็ไม่ใช่ว่า จะยกหนี้ให้ทันที แต่จะต้องดำเนินการชำระหนี้บางส่วนก่อนด้วย 5% หรือ 10% เช่น เป็นหนี้อยู่ 5,000 บาทก็ต้องชำระ 500 บาท ก็จะยกหนี้ให้ เพื่อให้ลูกหนี้หลุดพ้นปัญหา เป็นต้น
“ลูกหนี้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เป็น NPL (หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้) รายเก่า ๆ ที่มีการค้างชำระวงเงินไม่สูง แต่จ่ายไม่ได้และไม่ยอมติดต่อแบงก์ ทำให้มีประวัติค้างติดอยู่ในเครดิตบูโรมาเป็นเวลานาน มาตรการจะเป็นการดึงลูกหนี้ให้กลับมาติดต่อแบงก์ ซึ่งต้องเข้ามาติดต่อ มาชำระหนี้บางส่วน ไม่ใช่อยู่ดี ๆ จะไปล้างให้อัตโนมัติเลย เพราะอย่างนั้นจะทำให้เกิดวัฒนธรรมจงใจเบี้ยวหนี้ขึ้นอีก”
ก่อนหน้านี้ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า กระทรวงการคลังจะมีการ “แฮร์คัตหนี้” ให้ลูกหนี้ที่เป็นหนี้วงเงินไม่มากด้วย ซึ่งมีจำนวนเกือบ 1 ล้านราย แต่เรื่องนี้ต้องรอการแถลงอย่างเป็นทางการอีกที โดยหลังจากเคลียร์หนี้ให้ประชาชนแล้ว รัฐบาลจะเริ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการด้านการลงทุนต่อไป
ส่วนลูกหนี้ 3 กลุ่ม ที่สามารถเข้าร่วมโครงการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่จะมีการแขวนดอกเบี้ยให้ 3 ปีนั้น ต้องเป็นกลุ่มมีปัญหาค้างชำระ 30 วัน หรือเป็นหนี้เสียไม่เกิน 12 เดือน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา Moral Hazard ตั้งใจเบี้ยวหนี้ ขีดเส้นข้อมูลลูกหนี้ถึงวันที่ 31 ต.ค. 2567 เท่านั้น
โดยลูกหนี้ส่วนนี้จะประกอบไปด้วย 1) หนี้กู้บ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท 2) กู้ซื้อรถยนต์ไม่เกิน 800,000 บาทต่อคัน รวมถึงหนี้กู้ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ไม่เกิน 50,000 บาท และ 3) กลุ่ม SMEs ที่กู้เงินเพื่อประกอบอาชีพ วงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย
“3 กลุ่มนี้มีมูลหนี้รวม 1.31 ล้านล้านบาท คิดเป็นจำนวนลูกหนี้ที่เข้าข่าย 2.3 ล้านบัญชี แยกเป็น หนี้บ้าน 460,000 บัญชี วงเงิน 4.83 แสนล้านบาท หนี้รถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ 1.4 ล้านบัญชี วงเงินรวม 3.75 แสนล้านบาท หนี้ SMEs จำนวน 430,000 บัญชี วงเงินรวม 4.54 แสนล้านบาท โดยผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องมีการลงทะเบียน ไม่ใช่เป็นการได้สิทธิอัตโนมัติ” นายเผ่าภูมิกล่าว
หนี้ส่วนบุคคลยังพุ่งสูง
ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปี 2567 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.3% ชะลอลงจาก 2.3% ในไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ปรับลดลงจาก 90.7% ของไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 89.6%
โดยหนี้สินครัวเรือนเกือบทุกประเภทมีการปรับตัวชะลอลงหรือหดตัว “ยกเว้น” สินเชื่อส่วนบุคคล ส่วนหนึ่งมาจากการมีภาระหนี้ที่สูง ประกอบกับคุณภาพสินเชื่อที่ปรับลดลง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ สะท้อนจากเงินให้กู้แก่ภาคครัวเรือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 38.5% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด มีการหดตัวเป็นครั้งแรก
ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลงต่อเนื่อง โดยยอดคงค้างสินเชื่อบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วัน (NPLs) ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีมูลค่า 1.16 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.48% เพิ่มขึ้นจาก 8.01% ของไตรมาสที่ผ่านมา เป็นการเพิ่มขึ้นในสินเชื่อทุกวัตถุประสงค์
เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญในระยะถัดไป ได้แก่
1) แนวโน้มการก่อหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด โดยเป็นหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง หากครัวเรือนไม่ระมัดระวังในการก่อหนี้หรือไม่มีวินัยทางการเงิน จะนำไปสู่การติดกับดักหนี้
2) ความเสี่ยงจากการต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบของครัวเรือน จากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้มงวดต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกหนี้ที่กู้ในระบบเต็มวงเงินแล้ว
3) แนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้บ้านที่เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะบ้านที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 3 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า รายได้ของครัวเรือนบางกลุ่มยังไม่ฟื้นตัวและสถานะทางการเงินยังตึงตัว จากการเลือกที่จะผิดนัดชำระหนี้บ้านก่อนสินเชื่อประเภทอื่น แม้ว่าบ้านจะถือเป็นสินทรัพย์จำเป็น
และ 4) ผลกระทบของอุทกภัยต่อสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน ซึ่งภาครัฐอาจต้องติดตามการเข้าถึงมาตรการการช่วยเหลือของผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงต้องเร่งฟื้นฟูสถานการณ์ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ เพื่อให้รายได้ของครัวเรือนฟื้นตัวโดยเร็ว
“หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 2 ปี 2567 ขยายตัวชะลอลง จากการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนยังคงปรับลดลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ
ได้แก่ แนวโน้มการก่อหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ลูกหนี้บ้านที่มีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ ความเสี่ยงในการพึ่งพาหนี้นอกระบบของครัวเรือน และการเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาอุทกภัย” นายดนุชากล่าว
ธปท.ชี้ NPL-SM Q3 ขึ้นต่อเนื่อง
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในไตรมาสที่ 3/67 ทยอยปรับเพิ่มขึ้น ทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อย โดยอยู่ที่ 5.53 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.97% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มจากไตรมาสที่ 2/67 อยู่ที่ 2.84%
สำหรับตัวเลขหนี้เอ็นพีแอลของสินเชื่อธุรกิจขยับเพิ่มขึ้นจาก 2.70% มาอยู่ 2.84% โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.10% เป็น 1.18% และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เพิ่มขึ้นจาก 6.85% เป็น 7.13% ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นอยู่ในกลุ่มธุรกิจพาณิชย์ ค้าปลีกและค้าส่ง และอุตสาหกรรมบางประเภทที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาสินค้า รวมถึงการจัดชั้นหนี้เชิงคุณภาพของธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้เอ็นพีแอลขยับเพิ่มขึ้น
ขณะที่เอ็นพีแอลสินเชื่ออุปโภคบริโภคในไตรมาสที่ 3/67 อยู่ที่ 3.24% ปรับเพิ่มขึ้นจาก 3.13% ในไตรมาสที่ 2/67 โดยปรับทุกพอร์ตสินเชื่อ ทั้งสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล
โดยหนี้เอ็นพีแอลปรับเพิ่มขึ้นจะอยู่ในกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท และสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นในกลุ่มราคาบ้านต่ำ 3 ล้านบาท และเริ่มเห็นสัญญาณเพิ่มขึ้นในกลุ่มราคาบ้าน 3-5 ล้านบาท รายได้ 3 หมื่นบาท และขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม 3-5 หมื่นบาทมากขึ้น
ทั้งนี้ หากมองไปข้างหน้าหรือในไตรมาสที่ 4/67 คาดว่าหนี้เอ็นพีแอลจะยังคงขยับเพิ่มขึ้น โดย ธปท.ยังคงให้ความกังวลในกลุ่มที่มีความเปราะบาง ลูกหนี้ธุรกิจและสินเชื่อรายย่อยบางกลุ่มที่มีปัญหาอยู่เดิมแล้ว และยังไม่ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนใหญ่ผ่านการให้ความช่วยเหลือมาแล้วทั้งสิ้นตั้งแต่ช่วงโควิด-19
“หลังผ่านโควิด-19 เศรษฐกิจฟื้นตัวเป็น K Shape ซึ่งมีทั้งคนที่ฟื้นตัว และไม่ฟื้นตัว ซึ่งเจอปัญหาหลุมรายได้ ภูเขาหนี้ โดยจะเห็นว่าในช่วงโควิด-19 หนี้ครัวเรือนเราเพิ่มขึ้นมา 10% ซึ่งทำให้คนกู้ยืมหนี้มากขึ้น และไม่มีรายได้มาชำระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เรายังให้ความเป็นห่วงอยู่”
ขณะที่สินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM หรือ Stage 2) ขยับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2/67 อยู่ที่ 6.50% มาอยู่ที่ 6.86% ในไตรมาสที่ 3/67 อยู่ที่ 1.27 ล้านล้านบาท โดยสินเชื่อธุรกิจขยับเพิ่มขึ้นจาก 5.98% เป็น 6.39% เป็นผลมาจากการจัดชั้นเชิงคุณภาพหนี้ของเจ้าหนี้
ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยับเพิ่มขึ้น 7.60% เป็น 7.81% อย่างไรก็ดี จะเห็นว่าตัวเลข SM ของรถยนต์ชะลอลง แต่เป็นผลมาจากสินเชื่อที่หดตัว
ดังนั้นจากแนวโน้มคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง และ SM ที่ขยับเพิ่มขึ้น ธปท.จึงมีความร่วมมือกับกระทรวงการคลัง และภาครัฐในการออกมาตรการช่วยเหลือ ซึ่งจะมีรายละเอียดออกมาภายในเร็ว ๆ นี้ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนก่อนสิ้นปี 2567 โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายที่มีปัญหา
โดยการช่วยเหลือแหล่งเงินทุนส่วนหนึ่งจะมาจากการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ลด 0.23% จาก 0.46% และเงินส่วนหนึ่งจากธนาคารพาณิชย์เข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี มาตรการช่วยเหลือครั้งนี้ไม่ได้เป็นการบังคับลูกหนี้ แต่หากลูกหนี้ต้องการเข้าโครงการ และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ก็สามารถเข้าร่วมได้
“มาตรการช่วยเหลือนี้เราก็หวังว่าจะเป็นมาตรการช่วยเหลือที่ลึกขึ้น โดย FIDF จะเป็นแหล่งเงินทุนส่วนหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากช่วงโควิด-19 ที่ลดลง 0.23% ซึ่งเป็นช่วงที่แบงก์ไม่แข็งแรง แต่ครั้งนี้แบงก์แข็งแรงขึ้น และแน่นอนการปรับลดลง 0.23% ย่อมกระทบต่อการชำระหนี้ที่ล่าช้าออก โดยปกติการลด FIDF ครึ่งหนึ่ง การชำระหนี้จะขยับไปครึ่งปี แต่ในส่วนของการจัดสรรการชำระหนี้จะขึ้นอยู่กับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ”