
ธนาคารกรุงเทพประกาศกำไรสุทธิปี’67 อยู่ที่ 4.52 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% ด้านรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.3% เผยสำรองหนี้ลดลง หลังให้ความระมัดระวังต่อเนื่อง ทำให้ปี’67 มีการตั้งสำรองอยู่ที่ 3.48 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน ด้านหนี้เสียสามารถบริหารจัดการได้อยู่ที่ 2.7%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิสำหรับปี 2567 จำนวน 45,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% จากปีก่อน โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.3% จากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อและอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ กับต้นทุนเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 3.06%
สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกำไรหรือขาดทุน และกำไรจากเงินลงทุน ซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาด ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากธุรกิจบัตรเครดิต และบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายทางการตลาด
โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงเป็น 48.0% ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารมีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 4 ปี 2567 ธนาคารจึงตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงจากไตรมาสก่อน ส่งผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับปี 2567 มีจำนวน 34,838 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน
ธนาคารกรุงเทพยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,693,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากสิ้นปีก่อน จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อลูกค้ากิจการต่างประเทศ
สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.7% ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 334.3% เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 จำนวน 3,169,654 ล้านบาท ลดลง 0.5% จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 85.0% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 20.4%, 17.0% และ 16.2% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพระบุว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออก โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นผลจากมาตรการยกเว้นวีซ่าและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่วนการส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และจะเป็นแรงส่งที่สำคัญสำหรับปี 2568 ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องติดตามคือ มาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศคู่ค้าหลัก ความผันผวนของราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์จากความขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมถึงการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงที่อาจบั่นทอนเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว แม้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในทิศทางขยายตัว แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง
ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนตามนโยบายและกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากล รวมถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อก้าวทันโลกยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันจากภายนอกและความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก ธนาคารกรุงเทพในฐานะ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” ยังคงมุ่งเน้นให้ความสนับสนุนลูกค้า ทั้งด้านเงินทุน และองค์ความรู้ที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจในยุคใหม่ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้ลูกค้าในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสนับสนุนลูกค้าให้ได้ประโยชน์จากโอกาสในการขยายกิจการไปยังต่างประเทศ ในขณะเดียวกันธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมทั้งยึดมั่นแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) โดยให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและการเติบโตอย่างยั่งยืน