ส่องหุ้นเทค ‘สหรัฐ VS จีน’ เทรดวอร์เดือด-สงครามชิงผู้นำ AI

US-China stocks

สงครามการค้ารอบใหม่ที่ปะทุขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนอย่างมาก และที่ตีคู่กันมาก็คือ สงครามเทคโนโลยีที่ร้อนแรง หลังจีนเปิดตัว “DeepSeek AI” ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำออกมา ทำให้เห็นการปรับตัวลงแรงของหุ้นเทคสหรัฐ หรือ “หุ้น 7 นางฟ้า” สวนทางกับหุ้นเทคจีนที่กลับมาอยู่ในโฟกัสของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง

ปัจจัยเสี่ยงรุมกดดันหุ้นเทคสหรัฐ

โดย “สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา” นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า ปัจจุบันหุ้นเทคสหรัฐได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1.ความกังวลเรื่องนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เกี่ยวกับสงครามการค้า รวมไปถึงสงครามเทคโนโลยี ทั้งเรื่องเกี่ยวกับการห้ามส่งออกชิปสมัยใหม่ไปยังประเทศจีน รวมถึงอาจจะมีการเก็บภาษีนำเข้าชิปจากประเทศอื่น ๆ จึงทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล

2.การพัฒนา AI (ปัญญาประดิษฐ์) ของจีนที่มีความต่อเนื่องและทำได้ค่อนข้างดี ทำให้สหรัฐเกิดความกังวลถึงประสิทธิภาพ AI จากจีน ที่ใช้ความสามารถในการประมวลผลน้อยกว่าของสหรัฐ ยกตัวอย่างเมื่อก่อนใช้ชิป 10 ตัวในการประมวลผล แต่ปัจจุบันอาจใช้เพียง 5 ตัว ในการประมวลผลแบบเดียวกัน ดังนั้น ความต้องการใช้ชิปจึงมีแนวโน้มลดลง

และ 3.กังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ซึ่งปัจจัยนี้ส่งผลกระทบทั้งซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เช่น กำลังซื้อที่ลดลง ซึ่งมีผลกระทบต่อความต้องการซื้อคอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

“ปัจจุบันปัจจัยชี้นำต่าง ๆ ของหุ้นเทคฝั่งสหรัฐยังไม่มีความกังวลที่นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น และปัจจัยพื้นฐานหุ้นยังดีอยู่ ดังนั้น ต้องติดตามนโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์ หากไม่ยอมถอย ทั้งสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี โอกาสที่หุ้นเทคสหรัฐจะ Recovery (ฟื้น) อาจน้อยลง”

หุ้นเทคจีนดีดรับกระแส AI

ส่วนฝั่งหุ้นเทคจีน “สิทธิชัย” มองว่าปัจจุบันได้กระแสที่ดีจากประเด็นเรื่องการพัฒนา AI ค่อนข้างสูง โดย Alibaba, Tencent, Baidu ได้มีการพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสนำมาใช้งานในวงกว้างมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังสนับสนุนนวัตกรรมเทคโนโลยีมากขึ้น

ADVERTISMENT

ดังนั้น จึงทำให้ Sentiment ฝั่งจีนดูดีขึ้น ขณะที่บริษัทอย่าง Alibaba ได้ร่วมกับ Apple เพื่อที่จะทำ Apple Intelligence ที่ขายในเมืองจีน ทำให้บริษัทเล็ก ๆ ที่ทำ AI ได้รับการสนับสนุนจาก Alibaba ด้วย

“ดังนั้น จึงทำให้เรารู้สึกว่าภาพเทคโนโลยีฝั่งจีนดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่ดี เพียงแต่ยังไม่เห็นว่าภาพ AI จะทำให้บริษัทในจีนจะหารายได้อย่างไร หรือมีสตอรี่ แต่ไม่มีกำไร แต่ฝั่งสหรัฐกลัวสตอรี่ แต่มีกำไร”

ADVERTISMENT

สำหรับมุมมองด้านการลงทุน ในฝั่งกลุ่มเทคสหรัฐ หากนักลงทุนที่ลงทุนในระยะสั้นมีความเป็นไปได้ที่หุ้นจะเด้งขึ้นได้ แนะนำเล่นเก็งกำไรด้วยความระมัดระวัง แต่นักลงทุนที่เล่นระยะยาวอาจจะต้องจับตาท่าทีของทรัมป์อย่างต่อเนื่อง

“หุ้นเทคสหรัฐ เราชอบ Microsoft, Amazon ที่อาจจะได้รับผลกระทบในระดับกลาง ๆ ขณะที่ Apple ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากไม่พึ่งพา AI มาก ส่วนระยะสั้นมาก ๆ ทั้ง NVIDIA, Tesla อาจจะเด้งเร็วและแรงกว่า แต่ในเชิงปัจจัยพื้นฐานอาจจะมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ฝั่งกลุ่มเทคจีน แนะนำโฟกัสเทคใหญ่อย่าง Alibaba, เป็นต้น”

“สิทธิชัย” กล่าวด้วยว่า จะเห็นว่าผลตอบแทนหุ้นเทคจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างแรงในปีนี้ แต่หากเทียบตั้งแต่ปี 2566 ที่ผ่านมา หุ้นเทคสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นได้ดีมากเกือบ 100% และหากมองฝั่งจีนราคาอาจจะถูกกว่า แต่ความชัดเจนในรายได้และกำไรที่เกิดขึ้นใน AI ฝั่งของสหรัฐจะชัดเจนมากกว่าจีน

กราฟิก หุ้นสหรัฐ-จีน

ความกังวลสหรัฐจะถดถอย

“ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี นับตั้งแต่มีการกำเนิด ChatGPT และตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนอย่างแข็งแกร่งและดีที่สุดในโลก ขณะที่ปัจจุบันหุ้นสหรัฐถูกท้าทายด้วยปัญหาโดยเฉพาะที่มาจากทรัมป์ ทำให้นักลงทุนกังวล ขณะที่การรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐไม่ได้ปรับขึ้นมาก แตกต่างจากช่วงที่ผ่านมา รวมถึงข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ทยอยประกาศออกมาต่ำกว่าคาดการณ์

โดยจะเห็นได้ว่าสหรัฐปัจจัยบวกมีน้อย และมาเจอปัจจัยลบอีก หุ้นสหรัฐจึงพร้อมที่จะถูกเทขายทำกำไร ทั้งนี้ มีคำถามว่าสหรัฐจะเกิด Recession หรือไม่ ซึ่งปัจจุบันยังคาดการณ์ได้ค่อนข้างยาก

ดังนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐจึงมีพื้นที่จำกัด จากสถิติในอดีต 40 ปีที่ผ่านมา การปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐ หากไม่ Recession จะเฉลี่ย -10% แต่หากกรณี Recession จะเฉลี่ย -24%

“ความน่าสนใจกรณีที่ไม่มี Recession อีกประมาณ 6 เดือนถัดมา มีโอกาส 80% ที่ตลาดหุ้นจะฟื้นตัว ซึ่งปัจจุบันปรับลดลงแล้ว 10% หากเราเชื่อว่าจะไม่มี Recession ก็น่าเข้าซื้อ แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง ขณะที่หุ้น 7 นางฟ้าที่ปรับลดลง มองว่าสามารถทยอยเก็บได้ เช่น Microsoft, Amazon เป็นต้น”

กระจายลงทุนสินทรัพย์/ตลาดอื่น

“ประกิต” กล่าวอีกว่า ในภาวะความไม่แน่นอนนั้น นักลงทุนควรกระจายลงทุนไปที่ตลาดหรือสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น พันธบัตร รวมถึงทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคาทองคำมีการปรับขึ้นได้อย่างโดดเด่น

นอกจากนั้น ยังมีนักลงทุนบางส่วนโยกไปลงทุนตลาดหุ้นยุโรปและจีน เพราะประเมินมูลค่า (Valuation) ถูกกว่าตลาดสหรัฐ

“จะเห็นว่าในช่วงที่หุ้นสหรัฐมีการปรับฐานลง โดยเฉพาะกลุ่ม 7 นางฟ้า หุ้นกลุ่มแบงก์ในยุโรปปรับเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างสูง รวมถึงจะเห็นว่ามีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนที่ตลาดหุ้นจีน และตลาด ฮ่องกง แม้อาจจะไม่ใช่เงินจากสหรัฐทั้งหมด แต่สภาพคล่องในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงมีสูงมาก ล่าสุดปริมาณเงินในระบบ (Money Supply) ในจีนปรับเพิ่มขึ้นกว่า 60% ตั้งแต่ต้นปี”

นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ Deepseek ยังทำให้ตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจมากขึ้น บวกกับดอกเบี้ยต่ำในจีน และนโยบายการคลังสะท้อนจาก Money Supply ที่พุ่งสูง ทำให้เกิดกระแสเงินเข้าตลาดหุ้น ฮ่องกงสูงมาก

“ฉะนั้น หุ้นจีนดูเหมือนไปต่อ โดยเฉพาะหุ้นเทคจีน และ Valuation หลายตัวยังถูกกว่าหุ้นสหรัฐ เช่น Meituan, Baidu, Alibaba, Tencent, NetEase, JD.com เป็นต้น” เอ็มดี บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์กล่าว