สินเชื่อรายย่อยดิ่งยกแผง-CIMBT หันลุย ‘บ้านแลกเงิน’

pca_Cover_photo

สินเชื่อรายย่อยหดตัวแรง “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” จ่อทบทวนตัวเลขประมาณการ คาดติดลบลึกขึ้น จากเดิมมองทั้งปี -1% หลังตัวเลขไตรมาสแรกออกมาแย่กว่าคาด ปมเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า-หนี้ครัวเรือนสูง-แบงก์คุมเข้มเครดิตลูกค้า ชี้มีแค่สินเชื่อ “Home for Cash” โตได้ตัวเดียว ขณะที่ “CIMBT” มองครึ่งปีหลังท้าทาย เน้นลุยสินเชื่อ “บ้านแลกเงิน” ปั๊มยอด

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ศูนย์วิจัยอยู่ระหว่างทบทวนตัวเลขประมาณการอัตราการเติบโตสินเชื่อรายย่อยในปี 2568 จากเดิมมองหดตัว -1% แต่จากตัวเลขไตรมาส 1/2568 ออกมาค่อนข้างแย่กว่าคาด จึงอาจเห็นสินเชื่อรายย่อยติดลบลึกกว่าเดิม

กาญจนา โชคไพศาลศิลป์
กาญจนา โชคไพศาลศิลป์

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากระทบรายได้ครัวเรือน ซึ่งมีผลต่อเครดิตผู้กู้ ทำให้สถาบันการเงินระมัดระวังและดูเครดิตของสินเชื่อปล่อยใหม่มากขึ้น และผู้กู้เองไม่พร้อมกู้เงิน เพราะมีภาระหนี้ที่เต็มเพดาน ประกอบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ส่งผลให้สินเชื่อบางประเภทมาช้ากว่าคาด เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งจากเดิมคาดว่าหลังมีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ จะขยายตัวได้ 0.6% แต่พอเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้การเติบโตลดลง และสินเชื่อรายย่อยหลายตัวติดลบ จะเห็นเพียงสินเชื่อบ้านแลกเงิน (Home for Cash) ยังขยายตัวเป็นบวกเพียงตัวเดียวเท่านั้น เนื่องจากมีหลักประกัน

ทั้งนี้ เดิมศูนย์วิจัยมองสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะขยายตัว 0.6% สินเชื่อเช่าซื้อ -7.5% สินเชื่อบัตรเครดิต 2% และสินเชื่อส่วนบุคคลโต 1.2% แต่ล่าสุดน่าจะลดลงทุกตัว โดยยอดสินเชื่อคงค้างสินเชื่อรายย่อย ณ ไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 5.29 ล้านล้านบาท หดตัว -2.5% จากสิ้นปี 2567

“สินเชื่อรายย่อยปีนี้ เรามองติดลบอยู่แล้วที่ -1% แต่จากแรงส่งไตรมาส 1 ที่ออกมาแย่ เราจะทบทวนตัวเลขใหม่ ซึ่งมีโอกาสติดลบลึกกว่าเดิม โดยสินเชื่อบางตัวแย่กว่าเดิม เช่น สินเชื่อบ้าน ส่วนเช่าซื้อยังติดลบต่อไป ด้านบัตรเครดิตคงติดลบในช่วงครึ่งปีแรกไปก่อน และฟื้นตัวในช่วงปลายปีตามฤดูกาล และสินเชื่อบุคคลคงติดลบต่อเนื่อง”

นางสาวธนวรรณ เจียระนันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มองว่าธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในภาพรวมจะค่อนข้างท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง 88-89% แต่คนยังมีความต้องการสินเชื่ออยู่ แต่จากหนี้ที่อยู่ระดับสูงทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อรายย่อยได้ตามเป้าหมาย โดยเติบโตแล้ว 7% จากเป้าหมาย 8% ซึ่งสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่แล้วกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยแล้ว 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท และสินเชื่อส่วนบุคคลราว 1,800 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี ภาพรวมตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีนี้ ค่อนข้างซบเซามาก แม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นภาครัฐและการผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านใหม่ที่ยอดโอนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้หลายธนาคารหันมาเล่นตลาดสินเชื่อรีไฟแนนซ์มากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่ยังมีโอกาสเติบโต และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ต่ำ ทำให้มีการแข่งขันค่อนข้างสูงในด้านราคาหรืออัตราดอกเบี้ยต่ำ

ดังนั้น ธนาคารจะเน้นสินเชื่อบ้านแลกเงินมากขึ้น เนื่องจากตอบโจทย์เศรษฐกิจภาพรวมและคนที่มีมากกว่า 1 หลัง ซึ่งสามารถนำสภาพคล่องมาหมุนเวียนในธุรกิจ ประกอบกับตลาดรีไฟแนนซ์ที่มีการแข่งขันราคามากขึ้น ทำให้ไม่ยั่งยืน โดยธนาคารตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อบ้านแลกเงินเป็น 20% ของยอดปล่อยสินเชื่อบ้านใหม่ จากปัจจุบันอยู่ 13-14% และในปี 2569 เพิ่มเป็น 25% ซึ่งเป้าหมายสินเชื่อบ้านในปี 2568 อยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท

สำหรับแนวโน้มสินเชื่อส่วนบุคคล ธนาคารจะเน้นการเติบโตมากขึ้น โดยอยู่ระหว่างพูดคุยกับพันธมิตร 2-3 ราย เพื่อขยายฐานลูกค้าและข้อมูลทางเลือกมาวิเคราะห์สินเชื่อได้มากขึ้น โดยพันธมิตรที่จะเข้ามาจะพิจารณาจากโมเดลและการทำธุรกิจได้จริง รวมถึงสามารถควบคุมหนี้เสียได้จริง

ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโต 8-9% จากพอร์ตสินเชื่อคงค้างปัจจุบัน 7,000 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 2568 อยู่ที่ 7,700 ล้านบาท และปี 2569 อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท

“แนวโน้มการปฏิเสธสินเชื่อยังไม่ได้เยอะขึ้น เพราะเรามีวิธีวิเคราะห์ที่แม่นยำ ส่วนคนที่ไม่ผ่าน เราจะมีแพ็กเกจเสนอให้ใหม่ ทำให้ยอดการอนุมัติสินเชื่อ หรือ Approval Rate บ้านเฉลี่ย 60% และสินเชื่อบุคคล 40-50% ขณะเดียวกัน เราเสนออัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกค้า หรือ Risk Based Pricing อย่างไรก็ดี การเติบโตขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจ และพันธมิตรที่จะเข้ามา คาดว่าจะชัดเจนภายในไตรมาส 4 นี้”